ศาสนาทุกศาสนาบนโลกนี้ ล้วนให้ความสำคัญกับการฝึกสติ เพราะสมาธิจะทำให้จิตของมนุษย์หยุดแส่ส่าย มีกำลังเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับเกิดความสงบทางใจ และถ้ากำหนดสติ เฝ้าดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างตั้งใจ สมาธิจะทำให้เกิดปัญญาในระดับที่สามารถเห็นอนิจจัง ทุกขัง ของรูปนามได้
ศาสนาทุกศาสนาจึงมีคำสอนในเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง ไว้อย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ถึงคือ "อนัตตา" เพราะการเข้าถึงอนัตตาต้องใช้กำลังของสติ ไม่ใช่สมาธิ สติที่ไวมากๆ จะทำให้เห็นการเกิดดับ เห็นความไม่เที่ยงของรูปนามละเอียดถึงระดับหนึ่งในแสนล้านโกฏิวินาที ความไวของสติระดับนั้นจะเกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล (สัพพัญญุตญาณ)
เรามักจะสับสนระหว่างคำว่า "สมาธิ" กับ "สติ" และคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วการฝึกสมาธิ และการฝึกสติยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง จึงไม่แปลกที่บางคนตั้งใจนั่งสมาธิเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปี แต่กลับไม่เกิดญาณหยั่งรู้อะไรเลย ได้แต่ความสงบ ความดื่มด่ำทางใจ แต่ไม่เกิดปัญญา เป็นการเสียเวลาอย่างยิ่ง ถ้าเอาเวลาที่ต้องเสียไปกับการนั่งสมาธิทุกวันๆ มาอ่านหนังสือ อาจจะเกิดปัญญามากกว่า
สมาธิมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เวลาสิงโตนั่งเฝ้าเหยื่อ มันจะมีสมาธิสูงมาก แน่นอนว่าสัตว์ที่มีสมาธิสูงโดยธรรมชาติจะยิ่งใหญ่เหนือสัตว์ทั้งปวง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มันเกิดปัญญา สัตว์โลกทุกชนิดกว่าล้านเผ่าพันธุ์ล้วนมีสมาธิโดยกำเนิด แต่แปลกเป็นอย่างยิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์เท่านั้นที่มี สติสัมปชัญญะ
สติ คือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ของมนุษย์เท่านั้น และสติตัวเดียวกันนี่เองที่จะเป็นอาวุธสำคัญในการใช้กำจัดอุปสรรคศัตรูทั้งหลายขณะกำลังเดินไปตามทางสายเอกแห่งมรรค ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักวิธีการฝึกสติ โอกาสที่จะไปถึงไม่มีเลย
แต่แม้จะไปไม่ถึงนิพพาน ผู้ที่ฝึกเจริญสติอยู่เป็นนิจเมื่อได้เกิดใหม่จะมีกำลังสติกำลังปัญญาที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป อาทิ เซอร์ไอแซก นิวตัน ที่นั่งมองลูกแอปเปิลตกด้วยสติที่ไวกว่าคนอื่นๆ จนมองเห็นความไม่เที่ยงของความเร็วในการตก และเขาเรียกมันว่า ความเร่ง การค้นพบความเร่งของนิวตันทำให้เขากลายเป็นอภิมหาอัจฉริยะของโลกทันที
เช่นเดียวกับโมซาร์ท หรือเบโทเฟน ซึ่งแม้ภายหลังจะหูหนวก แต่ปัญญาอันเกิดจากสติยังอยู่ กลายเป็นมนุษย์อัจฉริยะทางด้านดนตรี ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจผิดว่าเขาฟังดนตรีด้วยสมาธิอันดื่มด่ำ ความจริงแล้วไม่ใช่ อัจฉริยะระดับนี้จะฟังเพลงด้วยสติที่ไวจนเห็นการเกิดดับของตัวโน้ต จังหวะ และเสียงเครื่องดนตรีอย่างชัดเจน เมื่อฟังจบเขาจะบอกได้อย่างละเอียดว่า เพลงนั้นประกอบด้วยจังหวะใด โน้ตตัวใด และใช้เครื่องดนตรีกี่ชนิด ต่างจ่กคนที่ฟังเพลงด้วยสมาธิอย่างผิดวิธี เป็นการเสียเวลาโดยสูญเปล่า
บางคนอาจเกิดคำถาม นิวตัน โมซาร์ท เบโทเฟ่น และไอน์สไตน์ ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธสักหน่อย นั่นคือภพปัจจุบัน ผู้ที่มีกำลังสติระดับนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ และเมื่อเสียชีวิต สติก็คือเจตสิก (องค์ประกอบของจิต) ตัวหนึ่งที่จะเกาะติดกับจุติจิตมาด้วย ต้นทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับการเกิดใหม่คือสติ เพราะสามารถข้ามภพข้ามชาติได้
การฝึกเจริญสติก็เหมือนการฝากธนาคารข้ามชาติ คือฝากชาตินี้และไปถอนชาติหน้า หรือบางคนอาจส่งผลในภพชาติเดียวกันด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้ที่เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ระหว่างเป็นมนุษย์จนขาดสติเมื่อเสียชีวิตจะไปเกิดในภพภูมิของเดรัจฉานทันที จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสัตว์เดรัจฉานจึงไม่มีสติ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ขาดสติในการดำรงชีวิต เมื่อเสียชีวิตไป เจตสิกที่เรียกว่าสติไม่สามารถจับจุติจิตได้ทันเพราะกำลังไม่พอ เหมือนเราจะกระโดดจับรถไฟที่กำลังวิ่ง ถ้าวิ่งไม่ไวพอก็จะจับไม่ทัน หรือถ้ากำลังแขนไม่พอถึงจับได้ก็ร่วงลงมา เช่นเดียวกัน ผู้ที่ขาดสติอยู่เป็นนิจขณะเป็นมนุษย์ สติจะหลุดเมื่อใกล้ตาย ขณะที่ภวังคจิตเปลี่ยนเป็นจุติจิต เมื่อเกิดปฏิสนธิจิตในภพชาติใหม่เจตสิกที่เรียกว่าสติไม่สามารถตามข้ามชาติไปได้จึงขาดหายไป ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าสัตว์เดรัจฉานทำไมถึงไม่มีสติ เพราะมันหลุดไปตั้งแต่ก่อนเกิด
การฝึกเจริญสติเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ข้อสงสัยหลายๆ เรื่องเช่น ตายแล้วเกิดหรือไม่ ผีมีจริงหรือไม่ กฏแห่งกรรมเป็นอย่างไร คำถามเหล่านี้ล้วนมีคำตอบอย่างชัดเจน เมื่อกำลังสติสูงขึ้นจะหยั่งรู้เข้าใจอัตโนมัติ การค้นพบจากกำลังสติของพระพุทธเจ้า ทำให้รู้เห็นเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนเกินกว่าที่จะนำมาสอนได้ทั้งหมด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรู้ต่างๆ ที่รับรู้จากสัพพัญญุตญาณนั้นมากมายเหลือเกิน เหมือนใบไม้เพียงกำมือหนึ่ง และใบไม้ใบที่สำคัญที่สุดในกำมือนั้นคือ คำสอนเรื่องสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง
เรื่อง ทันตแพทย์สม รุจีรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น