ชีวิตของเราควรจะศึกษาธรรมะเพื่อจะเดินตามรอยยุคลบาท ทำเหมือนพระพุทธเจ้า คิดว่าไม่เหลือวิสัย เพราะสติมันอยู่กับเรา กายก็อยู่กับเรา ที่เป็นนามก็อยู่กับเรา
สติเหมือนกับผู้ดูแล ดูแลรูปดุแลนามให้เห็นอยู่ ถ้ามีสติดูแลอยู่ มันก็ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้น เอียงไปไหลไปสู่มรรคสู่ผล เพราะฉะนั้นเป็นจุดที่เราจะต้องใส่ใจศึกษา เพื่อจะให้ไม่บกพร่องในชีวิตของเรา โดยเฉพาะเรื่องสติ มันไม่ยาก การเจริญสติไม่เหมือนกับเราทำอันอื่น เราทำงานเพื่อหาปัจจัยสี่ บางทีเดือนหนึ่งจึงค่อยได้รับ หรือ 15 วันจึงค่อยได้รับปัจจัย หรือปลูกข้าว บางทีต้องครึ่งปีหรือค่อนปี ปลูกผักอย่างน้อยก็ต้องสองสามอาทิตย์ แต่ว่าการปลูกสติไม่ต้องรอ ไม่ต้องรอแม้แต่วินาทีเดียว หายใจเข้ารู้ มันเป็นตัวรู้ทันที เรารู้ก็ไม่หลงทันที เป็นปัจจัตตังจริง เป็นอกาลิกธรรม เป็นสวากขาตธรรม ไม่มีใครจะค้านได้
ถ้าเราหายใจเข้ารู้ พอเรารู้มันก็ไม่หลง ถ้ามันหลงเอาตัวรู้ไปใส่ ความหลงก็หมด มันปฏิ มันกลับ มันแก้มันเปลี่ยนได้ทันที ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ถ้าเป็นสติ ยิ่งเรื่องของใจ บางท่านอาจจะคิดว่ามันยาก ทำได้ยาก แต่ถ้าผุ้ที่เจริญสติง่าย ง่ายกว่ากาย กายนี่บางทีเราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีบุคคลที่หนึ่ง บุคคลที่สองช่วย มีบุคคลที่หนึ่ง ที่สองช่วยแล้ว ยังไม่พอ ต้องมีวัตถุที่หนึ่ง ที่สอง เช่น มีคนช่วยมีรถพาไปหาหมอ มียา มี หมอ มีความรู้ มีเครื่องมือหลายอย่าง แต่ว่าเรื่องของใจนั้นไม่ยากไม่ต้องมีบุคคลที่หนึ่ง ที่สอง เปลี่ยนได้ทันที เช่นมันทุกข์เปลี่ยนไม่ทุกข์ได้ทันที มันโกรธเปลี่ยนไม่โกรธ มันหลงเปลี่ยนไม่หลง
แต่เราไม่ค่อยเปลี่ยน คนที่โกรธก็พอใจในความโกรธ ให้ความโกรธนอนอยู่ข้ามวันข้ามคืน คนโกรธก็พอใจนะมีคนมาห้าม เราไม่ยอม เราไม่ยอมต้องโกรธ "ไม่โกรธก็เป็นหมา" บางคนถึงกับพูดอย่างนี้ เขาพอใจในความโกรธ แต่ถ้าเราจะเปลี่ยนเป็นปฏิบัติ ปฏิบัติคือเปลี่ยน เปลี่ยนร้ายให้เป็นดี เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก เรียกว่านักปฏิบัติ เปลี่ยนได้ มันทุกข์ เปลี่ยนเป็นไม่ทุกข์ อย่าไปจนมุม อย่าไปมองแบบชนกำแพง มองข้ามไป มันมีความทุกข์ ความไม่ทุกข์ก็มีอยู่นั่น มีความโกรธ ความไม่โกรธก็มีอยู่นั่น มีความวิตกกังวลความไม่วิตกกังวลก็มีอยู่ตรงนั้น ข้ามไปเถอะมันง่าย ง่ายกว่าข้ามด้วยกาย
หลวงพ่อคําเขียน สุวณฺโณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น