ธรรมะกับการคิดบวก

ธรรมะกับการคิดบวก พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

โดย พระมหาสมปอง ตาลปุตโต

พูดถึงเรื่อง วิกฤต นั้นมีหลายด้าน หลายอย่าง เช่น วิกฤตทางความคิด วิกฤตทางการเมือง ส่วนวิกฤตที่ทุกท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้คือ วิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่วิกฤตที่อันตรายมากที่สุดนั่นคือ วิกฤตทางจิตใจ อย่าให้ความคิดติดลบมาบั่นทอนชีวิตเรา เช่นมีคนมานินทาว่าร้ายมักจะกลุ้มใจ แต่ถ้ามองในมุมที่ดี คำนินทาก็มีประโยชน์เหมือนกัน คนที่คิดกล่าวร้ายเราบางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ไม่รู้ตัวมาก่อน สิ่งนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้น เราจึงควรที่จะขอบคุณคนที่นินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง เราจงแปรพลังงานแห่งการนินทามาเป็นพลังแห่งแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเอง

หากเราเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ โอกาสก็มีขึ้นกับเราได้ตลอดให้จำไว้ว่า โอกาสเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม เกิดขึ้นได้กับคนที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น อาตมาขอยกตัวอย่าง มีบริษัทผลิตรองเท้าแห่งหนึ่ง ได้ส่งพนักงานขายสองคนไปที่เกาะๆ หนึ่งเพื่อที่จะเปิดตลาดใหม่ พอคนแรกไปถึงกลับมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง พร้อมบอกเจ้านายว่า นายครับ ไม่ต้องส่งรองเท้าไปที่เกาะหรอกครับ เพราะคนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย

พอคนที่สองกลับมา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความหวัง เขาพูดว่า นายครับ เป็นโอกาสทองของเราแล้วครับ เราจะขายรองเท้าได้อย่างมหาสาล เพราะคนที่เกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย เห็นไหม...แค่เปลี่ยนมุมคิดชีวิตก็เปลี่ยน ลองเดาดูว่า พนักงานสองคนนี้ ใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน คนแรกกำลังเผชิญกับวิกฤตทางความคิด คนที่สองได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส อย่างที่เขาพูดกันว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เมื่อเริ่มต้นดี มีกำลังใจดี เจออุปสรรคใหญ่แค่ไหนก็ผ่านไปได้ ขอให้จำไว้ให้ดีว่า ปัญญาเป็นบิดาของนักประดิษฐ์

เมื่อมีปัญหาให้คิดหาทางแก้ไข และทางแก้ไขก็มีหลายทางขอให้เราเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่จะรับหนทางนั้นๆ ปัญหาก็เหมือนกลอนประตู มีที่ล็อกและที่เปิดอยู่ในอันเดียวกัน ปัญหาก็เหมือนสวิทซ์ไฟสามารถที่จะเปิดและปิดอยู่ในอันเดียวกัน เมื่อเจอวิกฤต เจอปัญหา ขอให้ตั้วสติให้ดี ทำตัวให้เหมือนน้ำที่นิ่ง เพราะน้ำที่นิ่งจะใส เมื่อใสก็จะเห็นตะกอน คือปัญหานั่นเอง เมื่อเห็นปัญหาเราก็สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น