tag:blogger.com,1999:blog-47629918304709257582024-03-14T06:22:40.107+07:00ศาลา ธรรมะศาลาธรรมะ เป็นที่สบาย เป็นศาลาพักใจ บุ๊คมาร์คสาระธรรม นำธรรมะไปใช้ในการประพฤติปฏิบัติUnknownnoreply@blogger.comBlogger295125tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-38467222134931040332023-09-19T20:48:00.002+07:002023-09-19T20:48:09.040+07:00ความตาย<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPFZvl4URxG0jLliTlqIiQcOdaukHZ0iSbasiYThjclZ0WmpBIoduVMqHslF1BplfnquwcYfMQQe15Q-8KshXH5CxjvocSc9Vzv5zwpA6tjHZ0aEUfZF9JrmnI9EJ8mfeQhE5gtWmdavBXmbOyUBmQAbCbCbguLg7HR1W3PQpAVQnrW3Xbzw4FWAGQ7m0/s800/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="800" data-original-width="795" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPFZvl4URxG0jLliTlqIiQcOdaukHZ0iSbasiYThjclZ0WmpBIoduVMqHslF1BplfnquwcYfMQQe15Q-8KshXH5CxjvocSc9Vzv5zwpA6tjHZ0aEUfZF9JrmnI9EJ8mfeQhE5gtWmdavBXmbOyUBmQAbCbCbguLg7HR1W3PQpAVQnrW3Xbzw4FWAGQ7m0/s320/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" width="318" /></a></div>ความตายอาจเป็นสิ่งที่หลายคนหวาดกลัว การระลึกถึงความตาย ก็อาจเป็นเรื่องน่ากลัว<br />แต่การเข้าใจว่า เราทุกคนต้องตาย และรู้ตัวเสมอว่า ความตายไม่ได้จะมา<br />ในอีกหลายปีข้างหน้าเสมอไป<p></p><p><br />ความตาย ก็คือความไม่เที่ยง เป็นสภาวะปกติอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้<br />ในเวลาใด เวลาหนึ่ง ทุกเวลา<br />การระลึกว่า เราไม่ได้มีเวลามากมาย และความตาย เกิดขึ้นได้เสมอ<br />ระลึกอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เพื่อกลัว แต่เพื่อเข้าใจว่า นี่คือปกติ และระลึกเพื่อไม่ประมาท<br />เมื่อระลึกได้ว่า วันนี้ หรือพรุ่งนี้ อาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิต<br /> </p><p>เราจะกังวลสนใจ เราจะยังเอาชนะคะคาน ถกเถียง ต่อสู้ ไม่ยอมรับ กับความคิดของคนอื่นอยู่หรือไม่<br />หรือจะเริ่มพิจารณาว่าแท้จริงแล้ว หัวใจเราให้ความสำคัญกับสิ่งใด<br />และสิ่งใดจึงเป็นสิ่งที่เราคิดว่า ควรทำมากที่สุด ก่อนที่จะตาย<br />รู้จักตายก่อนตาย จึงไม่ตายเปล่า !!<br />.<br />𝐶𝑟𝑒𝑑𝑖𝑡 : 𝐵𝑜𝑑𝘩𝑖𝑠𝑎𝑡 𝐻𝑒𝑎𝑟𝑡<br />https://www.facebook.com/bodhisatheart<br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-61216038574505172452021-04-27T10:05:00.000+07:002021-04-27T10:05:16.331+07:00โอม มณี เปเม ฮุง (Om Mani Padme Hum)<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-CyUgpqvFJJ0/YId8tlm3nLI/AAAAAAAAN2s/mTsD9Hbl5HUVnCLFe-Uihyo7X1f2gLUIACLcBGAsYHQ/s525/Om-mani-padme-hum.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="230" data-original-width="525" src="https://1.bp.blogspot.com/-CyUgpqvFJJ0/YId8tlm3nLI/AAAAAAAAN2s/mTsD9Hbl5HUVnCLFe-Uihyo7X1f2gLUIACLcBGAsYHQ/s320/Om-mani-padme-hum.png" width="320" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-eyqriUqIslA/YId8tiny13I/AAAAAAAAN2w/TqiFl2p33aAIEI0j-OxU18jcBASFxyWGwCLcBGAsYHQ/s600/Om-mani-padme-hum2.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="600" data-original-width="600" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-eyqriUqIslA/YId8tiny13I/AAAAAAAAN2w/TqiFl2p33aAIEI0j-OxU18jcBASFxyWGwCLcBGAsYHQ/s320/Om-mani-padme-hum2.png" /></a></div><br /><p></p>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/R-ZO7bsA2pA" title="YouTube video player" width="560"></iframe> <div><div>The mantra of Avalokiteshvara, OM MANI PADME HUM, in Tibetan script on the petals of a lotus with the seed syllable HRI in the center. (Om Mani Padme Hum Hri).</div><div><br /></div><div>བོད་ཡིག: ཨོཾ་དཀར་པོ་ལྷ་ཡི་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་ང་རྒྱལ་འཕོ་ལྟུང་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།།</div><div>མ་ལྗང་གུ་ལྷ་མིན་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་ཕྲག་དོག་འཐབ་རྩོད་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།།</div><div>ཎི་སེར་པོ་མི་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་སྐྱེ་རྒ་ན་འཆིའི་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།།</div><div>པད་མཐིང་ནག་དུད་འགྲོའི་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་གླེན་ཞིང་གཏི་མུག་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།།</div><div>མེ་དམར་པོ་ཡི་དྭགས་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་བཀྲེ་སྐོམ་སེར་སྣའི་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།།</div><div>ཧཱུྃ་ནག་པོ་དམྱལ་བའི་ཡུལ་དུ་འཕྲོས། །རྒྱུད་ཚ་གྲང་བཙོ་བསྲེགས་སྡུག་བསྔལ་སྦྱོང་།</div></div><div><br /></div><div><div><b>มนตราบทหนึ่งของชาวธิเบตที่นับถือพุทธศาสนา ซึ่งแปลความได้ว่า ‘โอม อัญมณีในดอกบัว’ </b></div><div>บทสวดนี้เป็นบทสวดที่ใช้ในการสวดอ้อนวอนต่อเชนเรสี (Chenrezi, พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร) </div><div>หรือเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาชาวธิเบต และมักจะพบบทสวดนี้ได้ตามหินผา</div><div><br /></div><div> การอ่านมนตรานี้ซ้ำๆ จะเป็นการเพิ่มพูนกุศลบุญ และลดบาปอันเกิดจากการกระทำ ส่วนการเจริญสมาธิ เชื่อว่าเป็นการชำระล้างใจและกายให้สะอาดบริสุทธิ์ ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ และได้บรรลุธรรมเช่นเดียวกับพระพุทธองค์ เชื่อกันว่าการหมุนกงล้ออธิษฐานนั้นให้ผลเช่นเดียวกับการสวดมนตรานี้พร้อมไปกับการใช้นิ้วมือหมุนสร้อยลูกประคำไปทีละเม็ด</div><div><br /></div><div>มีการสันนิษฐานว่าบทสวดนี้น่าจะแปลความหมายได้ว่า มนุษย์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ คำพูด และจิตใจที่แปดเปื้อนมีมลทินไปเป็นกายเนื้อ คำพูด และจิตใจอันบริสุทธิ์ได้ เหมือนดังพระพุทธองค์ที่ครั้งหนึ่งเคยต้องมัวหมองทั้งกาย ใจ และคำพูดมาก่อน แต่สุดท้ายพระองค์ก็ทรงสามารถตัดกิเลสและตรัสรู้ได้เอง การเดินตามรอยพระพุทธองค์ด้วยวิธีการเดียวกันนั้น จะทำให้วิธีคิดและปัญญาไม่แยกออกจากกัน</div><div><br /></div><div>คำว่า โอม (om) นั้นเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่มีร่างกาย คำพูด และจิตใจที่มัวหมอง</div><div> มณี (Mani) หมายถึง อัญมณี เป็นตัวแทนขององค์ประกอบของความเมตตา กรุณา และความรักความห่วงใย </div><div> ปัทเม (padme) แปลว่า ดอกบัว และเป็นเครื่องหมายของปัญญา การที่ดอกบัวมีกำเนิดมาจากโคลนตม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดอกบัวต้องมัวหมองด้วยโคลนตม ด้วยเหตุนี้ดอกบัวจึงถูกนำพาไปเปรียบเทียบกับปัญญาที่นำมนุษย์ให้พ้นจากความมัวหมองทั้งปวง</div><div> ฮัม (hum) แปลว่า สิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ และสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการรวมเอาวิธีการและปัญญาไว้ด้วยกัน</div></div><div><br /></div><div><div><b>The six syllables: Om Mani Padme Hum</b></div><div><br /></div><div>Thus the six syllables, om mani padme hum, mean that in dependence on the practice of a path which is an indivisible union of method and wisdom, you can transform your impure body, speech, and mind into the pure exalted body, speech, and mind of a Buddha.</div><div><br /></div><div>It is said that you should not seek for Buddhahood outside of yourself; the substances for the achievement of Buddhahood are within.</div><div><br /></div><div>As Maitreya says in his Sublime Continuum of the Great Vehicle (Uttaratantra), all beings naturally have the Buddha nature in their own continuum. We have within us the seed of purity, the essence of a One Gone Thus (Tathagatagarbha), that is to be transformed and fully developed into Buddhahood.</div></div><div><br /></div><div>source: https://en.wikipedia.org/wiki/Om_mani_padme_hum</div><div>https://www.finearts.go.th/mahavirawongmuseum/view/12448-คาถาโอม-มณี-ปัทเม-ฮัม--Om-Mani-Padme-Hum-</div><div>https://www.shambhala.com/snowlion_articles/om-mani-padme-hum-dalai-lama/</div><div><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-44807391532282668832017-09-06T16:14:00.001+07:002017-09-06T16:14:03.097+07:00ความจริงของธรรมชาติ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-X18rNkuHHg8/Wa-8OeNFyLI/AAAAAAAAJLo/FrTh7LORCTIU1V1Mp4ikBHof-sqGGcy2gCLcBGAs/s1600/Sad%2Bbear.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="640" data-original-width="639" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/-X18rNkuHHg8/Wa-8OeNFyLI/AAAAAAAAJLo/FrTh7LORCTIU1V1Mp4ikBHof-sqGGcy2gCLcBGAs/s320/Sad%2Bbear.jpg" width="319" /></a></div>
พระพุทธศาสนามองความจริงของสิ่งทั้งหลายว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีอยู่ และเป็นไปตามธรรมดาของมัน แล้วพระพุทธเจ้ามาค้นพบ แล้วก็ทรงทำให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยมีวิธีจัดรูปร่างและระบบแบบแผนให้เรียนรู้ได้สะดวก และวางเป็นกฏเกณฑ์ต่างๆ<br /><br /><br />ถ้าใครเอาทุกข์มาเข้าตัว ใครทำตัวให้เป็นทุกข์ แสดงว่าปฏิบัติผิดหลัก ไม่มีที่ไหนพระพุทธเจ้าสอนให้คนเป็นทุกข์ สอนแต่ให้รู้เท่าทันทุกข์ เพื่อที่จะแก้ไขได้ มรรคต่างหากที่เรามีหน้าที่ปฏิบัติลงมือทำให้มีให้เป็น....<br /><br /><br />อริยสัจเป็นหลักที่เชื่อม ระหว่างความจริงของธรรมชาติกับปฏิบัติการของมนุษย์<br /><br /><br /><span style="font-size: x-small;">ทุกข์สำหรับเห็นแต่สุขสำหรับเป็น<br />พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต)</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-72831661772205021372017-05-07T08:03:00.005+07:002017-05-07T08:04:40.072+07:00ต้นไม้แก่ ขอฝน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-9O2bum5hhgY/WQ5xT-YelEI/AAAAAAAAIYI/fSRo92564oMNpx9ZupkamjHiWRUjAWpUwCLcB/s1600/Old%2Btree.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://3.bp.blogspot.com/-9O2bum5hhgY/WQ5xT-YelEI/AAAAAAAAIYI/fSRo92564oMNpx9ZupkamjHiWRUjAWpUwCLcB/s1600/Old%2Btree.jpg" /></a></div>
<br />
ต้นไม้แก่ ขอฝน เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า น้ำฝนมีอยู่น้อย กลัวว่ามันคงจะไม่พอ ให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ<br />
<br />
วันต่อมา เมฆก้อนน้อยก็ยังคง บอกเช่นเดิม มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้...!!!<br />
<br />
เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง และพยายามสะสมฝน เพื่อที่จะให้มันมากพอ...!!! พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ<br />
<br />
เมื่อมีปริมาณมากพอ เมฆน้อยจึงกลับมา แต่สิ่งที่พบข้างหน้า มีเพียงซากต้นไม้แก่ ที่ตายแล้ว...!!!<br />
<br />
เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้ แล้วถามว่า...ทำไม ? ความพยายามของฉัน ไม่มีค่าเลยเหรอ...!?!<br />
<br />
ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้ จึงได้แหงนหน้า แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า<br />
<br />
การที่เราจะให้อะไร? แก่ใครสักคนที่เรารัก มันไม่ต้องรอให้มากพอ หรือรอความพร้อมอะไรหรอก<br />
ให้เท่าที่มี ก็ทำให้คนรับชื่นหัวใจได้ ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไข !!!<br />
<br />
อย่าไปรอให้รวย !!! ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก อย่าไปรอให้พร้อม !!! ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก<br />
เพราะคนที่เรารัก อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา !!! <br />
<br />
แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป เขาฝากบอกเธอไว้ว่า ถ้าเห็นเธอผ่านมา ให้บอกเธอว่า เขารักเธอ<br />
<br />
เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตา ออกมาเป็นเม็ดฝนอย่างไม่ขาดสาย ให้กับต้นไม้ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็นอีกต่อไป ตลอดกาล !!!<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;">บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นใน วันที่ 11 กันยายน 2001<br />(ตึกเวิรด์เทรดถล่ม)หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขา เสียชีวิตในตึกนั้นด้วย !!!</span><br />
<br />
<br />
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-25851052122497355662017-05-07T07:55:00.001+07:002017-05-07T07:55:18.430+07:00ความเข้าใจผิด ที่ทำให้คนเราทุกข์ไปจนตาย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-IPYrZtKDom0/WQ5v4W18VJI/AAAAAAAAIX4/JRKyxr1smjo2UXRFoApvQgTN8PfVaUxlACLcB/s1600/%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://3.bp.blogspot.com/-IPYrZtKDom0/WQ5v4W18VJI/AAAAAAAAIX4/JRKyxr1smjo2UXRFoApvQgTN8PfVaUxlACLcB/s1600/%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C.png" /></a></div>
ความเข้าใจผิด ที่ทำให้คนเราทุกข์ไปจนตาย<br /><br />1. เข้าใจผิดว่า ปัญหาคือสิ่งที่ต้องปฏิเสธ <br /> ไม่เข้าใจว่า ปัญหาคือเรื่องธรรมดา ที่ต้องเรียนรู้และยอมรับ<br /><br />2. เข้าใจผิดว่า ความสุขเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา <br /> ไม่เข้าใจว่า ตราบใดที่ยังแสวงหา ความสุขจะไม่มีวันเกิด<br /><br />3. เข้าใจผิดว่า ความคิดควบคุมได้ <br /> ไม่เข้าใจว่า ไม่มีใครควบคุมความคิดได้ เพราะความคิดคือ ธาตุปรุงแต่งตามธรรมชาติ<br /><br />4. เข้าใจผิดว่า อีกนานกว่าจะตาย <br /> ไม่เข้าใจว่า ความตายมาถึงได้ทุกเมื่อ<br /><br />5. เข้าใจผิดว่า ทำดีแล้วต้องได้ดี <br /> ไม่เข้าใจว่า ทำดีไม่ได้อะไร นอกจากได้ละกิเลส<br /> <br />6. เข้าใจผิดว่า ชีวิตต้องแสวงหาความมั่นคง <br /> ไม่เข้าใจว่า ความมั่นคง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้<br /><br />7. เข้าใจผิดว่า ดีกับเขาแล้วเขาต้องดีกับเรา <br /> ไม่เข้าใจว่า เรามีหน้าที่ดีกับเขา ส่วนเขาจะดีหรือไม่ดีกับเรา มันก็เรื่องของเขา<br /><br />8. เข้าใจผิดว่า ต้องรักษาทุกสิ่งให้ดีที่สุด <br /> ไม่เข้าใจว่า ดีที่สุดคือ ไม่มีอะไรให้ต้องรักษา<br /> <br />9. เข้าใจผิดว่า ความสำเร็จคือสิ่งสูงสุด <br /> ไม่เข้าใจว่า การยึดในความสำเร็จ นั่นแหละทุกข์ขั้นสูงสุด<br /><br />10. เข้าใจผิดว่า ตนเองสำคัญที่สุด <br /> ไม่เข้าใจว่า เรื่องสำคัญที่สุดคือการไม่มีตนเอง<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;">#พศิน อินทรวงค์ </span><br />
<br />
10 misunderstandings That causes people to suffer until they die<br /><br />1. Misunderstanding that the problem is something to deny.<br /> I do not understand what the problem is. To learn and accept<br /><br />2. Misconceptions that happiness is a must.<br /> I do not understand that as long as it is still sought. Happiness is never born.<br /><br />3. Misconceptions that control the mind.<br /> Do not understand that no one has control over the idea. Because the idea is Natural flavoring<br /><br />4. Misconceptions that last longer than death<br /> I do not understand that death comes at any time.<br /><br />5. Misunderstanding that good to do well.<br /> Do not understand what can not do. In addition to the passion.<br /> <br />6. Misunderstanding that life must seek stability.<br /> Not understand that stability is impossible.<br /><br />7. Misconceptions about him and his good to us.<br /> Do not understand that we have a good job with him. He is good or bad for us. It was his story.<br /><br />8. Misconceptions that everything must be kept to the best.<br /> Not understand that the best is nothing to keep.<br /> <br />9. Misconceptions that success is the highest<br /> Do not Understand That Adherence to Success That is the highest suffering.<br /><br />10. Misconceptions that they are most important.<br /> Do not understand that the most important thing is to have no self.Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-68827240176084128152017-04-13T08:06:00.001+07:002021-03-22T11:48:37.668+07:00สัพพมงคลคาถา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-4CIVFgwpU4I/WO7OANOwOKI/AAAAAAAAISo/G5aajg-hQNEpxS03tqSScDAnLy6zEaZvACLcB/s1600/%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="75" src="https://3.bp.blogspot.com/-4CIVFgwpU4I/WO7OANOwOKI/AAAAAAAAISo/G5aajg-hQNEpxS03tqSScDAnLy6zEaZvACLcB/s400/%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7.jpg" width="400" /></a></div>
สัพพมงคลคาถา แปล<br /><br /><b>ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง </b> ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน<br /><b>รักขันตุ สัพพะเทวะตา </b> ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br /><b>สัพพะพุทธานุภาเวนะ </b> ด้วยอานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง<br /><b>สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ</b> ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br /><b>ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง</b> ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน<br /><b>รักขันตุ สัพพะเทวะตา</b> ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br /><b>สัพพะธัมมานุภาเวนะ </b> ด้วยอานุภาพ แห่งพระธรรมทั้งปวง<br /><b>สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ</b> ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br /><b>ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง</b> ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน<br /><b>รักขันตุ สัพพะเทวะตา</b> ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br /><b>สัพพะสังฆานุภาเวนะสะทา</b> ด้วยอานุภาพ แห่งพระสงฆ์ทั้งปวง<br /><b>โสตถี ภะวันตุ เต ฯ</b> ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br />
<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/JFgZb8mHNEw" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen></iframe>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-80672118221216713632017-02-28T09:20:00.001+07:002017-02-28T09:20:23.857+07:00ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-BFc0-bN6yDo/WLTaFZbZzfI/AAAAAAAAIEY/xbJqcAIqXBMisQsCDLxNcAUzkiXp_PQgwCLcB/s1600/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://2.bp.blogspot.com/-BFc0-bN6yDo/WLTaFZbZzfI/AAAAAAAAIEY/xbJqcAIqXBMisQsCDLxNcAUzkiXp_PQgwCLcB/s1600/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7.jpg" /></a></div>
source: facebook.com/tosakan<br />
<br />
นายทศกัณฐ์: เคยสงสัยว่าตอบจบของไซอิ๋วคืออะไร เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังสักที เคยฟังแต่เค้าเล่ามากับดูละครช่อง 3 รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยยืมท่านเสวียนจ้าง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่แต่งให้มีอภินิหารอ่านสนุก ก็เท่านั้น ....<br /><br />วันนี้เลยนั่ง google ดู กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วคือนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน<br /><br />รู้แค่ว่าพระถังคือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย โทสะ - หงอคง โกรธ , โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ , โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้<br /><br />ก็แค่นั้น จน Google เจอที่เค้าอธิบายแต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งเลยในความสามารถของคนแต่ง<br /><br />หงอคงแปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้ .... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น<br />และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะ เราจะเหมือนหงอคง แผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง<br /><br />แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่อะไร ? ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว<br /><br />ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน ขันธ์ 5<br />ต่อให้จิตแน่แค่ไหนสุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5<br />ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ<br /><br />นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดปัญหา พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา<br /><br />ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป<br /><br />ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า<br />จะไปชมพูทวีปผมพา อาจารย์ตีลังกาไปได้ 7 ทีถึง<br />มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ พระถังบอกว่าไม่ได้ต้องเดินไป<br /><br />ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญหา ฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แปบเดียวก็ไปถึงนิพพานละ<br />เช่น เนี่ยคนเล่าให้ฟังอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ฟังเข้าใจละ แต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึง ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป ถึงจะถึง<br /><br />โป๊ยก่าย คือศีล 8 , ซัวเจ๊ง คือสมาธิ<br /><br />ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์<br /><br />แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน<br />ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย<br />เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา<br /><br />ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวาง<br /><br />ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว<br />คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล<br /><br />พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ ท้ายที่สุดถ้าปฎิบัติไม่ไหวก็ถามผู้รู้เอา .... จบแน่นอน<br /><br />ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็เจ๋งมาก<br />เช่นเมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป<br />สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย<br /><br />โจรทั้งหกคือ อายตนะ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (ตะบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้<br /><br />แล้วก็เจอปีศาจไปเรื่อยๆ อ่านยังไม่จบ ท่าทางอีกหลายวัน<br /><br />อ้อ แต่แอบโกงมาละ เปิดดูตอนจบ<br />สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ เดินทาง<br />กำจัดกิเลสไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร<br /><br />ตอนจบพระถังและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง<br />สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง<br />จนเจอเรือไร้ท้องเรือจอดอยู่ พระถังกังวลมาก<br />เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากยังไง<br /><br />แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป<br />แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส<br />เรือนั้นแทน สุญญตา ความไม่ยึดมั่นถือมั่น<br /><br />เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป<br />และได้คัมภีร์มา เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม<br />แทนธรรมมะ ซึ่งคือความว่างเปล่า ...นิพพาน<br /><br />แต่สุดท้ายเห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปจีนหน่อย<br />เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ<br />เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร<br />บันทึกการเดินทาง เรียกว่า พระไตรปิฎก ... จบ<br /><br />อ่านแล้วคารวะคนแต่งเลย .... โห เก่งจัง<br /><br />ปล. เข้าใจว่ามีหนังสือแปลที่ละบททีละตัวละคร ชื่อ "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว"<br />
-------------------<br />
<b>Comment: </b><br />Chettha Srivech: อ่านแล้ว ยังไม่เข้าใจครับ<br />นี่เป็นเจตนา ของผู้แต่ง หรือ การตีความภายหลังครับ เพราะ<br />
<br />1.หงอคง+โป๊ยก่าย+ซัวเจ๋ง = ศรัทธา+ปัญญา+ศีล+สมาธิ = การพ้นทุกข์<br />ตามความเข้าใจของผม พละ5 คือ สิ่งที่พาให้พ้นทุกข์ ประกอบด้วย ศรัทธา+วิริยะ+ปัญญา+สติ+สมาธิ<br />ถ้า มงคล คือ สติ<br />ก็จะขาด วิริยะ ซึ่งไม่น่าจะเป็น โป๊ยก่าย<br /><br />2.ปัญญา+เมตตา = สัมมาทิฎฐิ ?<br />สัมมาทิฎฐิ คือ ความเห็นชอบ คือ ส่วนของปัญญา ในมรรคมีองค์ 8 อยู่ด้วยตัวเองแล้ว<br />และ มรรคมีองค์ 8 เริ่มจาก การมีปัญญา เห็น สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นอริยสัจ จึง ทำการให้ ศีล และ สมาธิถึงพร้อม จึงพ้นทุกข์<br />ไม่ใช่ ปัญญา เอาไม่ไหว ให้ไปใช้ เมตตา<br /><br />3.เมตตา = ปล่อยวาง ?<br />ในพรหมวิหาร 4 ปล่อยวาง คือ อุเบกขา<br />ขอบคุณ นายทศกัณฑ์ ที่เอาบทควาทดีๆมาแบ่งปันครับ<br /><br />แต่มีข้อข้องใจเลยซักถาม เพราะมีความรู้สึกว่า การตีความเหมือนการดีความของนอสตราดามุส ที่ส่วนใหญ่จะตรง เพราะตีความกันทีหลัง ตามความเข้าใจของตัวเอง<br /><br />
<ul>
<li>นายทศกัณฐ์: วิริยะ คือม้าขาว ครับ เป็นมังกรที่แปลงร่างเป็นม้า ส่วนว่าตีความได้ยังไง เข้าใจว่าคนแต่งตั้งชื่อให้พอเดาได้ ส่วนคนแปลคือพระครับ ลองหาหนังสือ ลิงจอมโจกอ่านดูครับผม ถามลึกๆ ผมแย่เลยครับ เพิ่งอ่านไปนิดเดียว</li>
</ul>
---------------<br />
More info<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-I2jQDi0wRWc/WLTdyUG3u2I/AAAAAAAAIE0/z6TluR255FA0aYTPWJY0Ml8So-975FucQCLcB/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://3.bp.blogspot.com/-I2jQDi0wRWc/WLTdyUG3u2I/AAAAAAAAIE0/z6TluR255FA0aYTPWJY0Ml8So-975FucQCLcB/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7.jpg" /></a></div>
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว โดย เขมานันทะ มี 50 บท<br />เนื้อเรื่อง : เป็นการสนทนาระหว่าง โหง่ว นายนาม และ นายจิต<br />(ตีพิมพ์ครั้งแรก) ปล.ถูกตีัพิมพ์มาแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 1-3<br />ใช้ชื่อเป็น<span style="color: blue;"> เดินทางไกลกับไซอิ๋ว </span><span style="color: purple;">ส่วนครั้งที่ 4-5 ใช้ชื่อว่า ลิงจอมโจก ไขปริศนาธรรมในไซอิ๋ว</span> โดยได้เปลี่ยนจาก นายจิตเป็นรูป มีการตีพิมพ์คำนำทั้งหมด 3 ครั้ง ส่วนครั้งที่ 4-5 ได้นำคำนำทั้งครั้งที่ 1-3 มาตีพิมพ์ร่วมกัน ส่วนเนื้อหานั้นเป็นเรื่องราวโดยย่อของแต่ละตอนโดยมีเนื้อที่สมบูรณ์ (ปล. เนื้อหาที่ได้ถูกแก้ไขนั้น เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-OL8Dgt8XJrs/WLTc9wuCSSI/AAAAAAAAIEs/T67DbbvOepYNfLP8Y_h1RS0nwfaP_u_HACLcB/s1600/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-OL8Dgt8XJrs/WLTc9wuCSSI/AAAAAAAAIEs/T67DbbvOepYNfLP8Y_h1RS0nwfaP_u_HACLcB/s320/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581.jpg" width="218" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ลิงจอมโจก</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://4.bp.blogspot.com/-GCd_MSGcrdc/WLTc97V4XCI/AAAAAAAAIEo/QYYD2AIjNJwQ10ppVT1NB6vb3LFX-ToDACLcB/s1600/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7-%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://4.bp.blogspot.com/-GCd_MSGcrdc/WLTc97V4XCI/AAAAAAAAIEo/QYYD2AIjNJwQ10ppVT1NB6vb3LFX-ToDACLcB/s320/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A7-%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B0.jpg" width="217" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ไซอิ๋ว ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะ</td></tr>
</tbody></table>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-73046098884848808322016-10-20T08:34:00.001+07:002016-10-20T08:34:08.500+07:00ความขุ่นมัวในใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-dDc8KFu4-wA/WAge7pYi_YI/AAAAAAAAG-g/9GFkr7bf8PM5GccTYkgoP6l8R7KbHjgPACLcB/s1600/%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://2.bp.blogspot.com/-dDc8KFu4-wA/WAge7pYi_YI/AAAAAAAAG-g/9GFkr7bf8PM5GccTYkgoP6l8R7KbHjgPACLcB/s320/%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7.jpg" width="320" /></a></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"K"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span>ข้าพเจ้าประจักษ์แจ้งว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในความข</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ุ่นมัวในใจของข้าพเจ้าก็คือ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>ตัวของข้าพเจ้าเอง </span></span><br /><span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"K"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"></span></span></blockquote>
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"K"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"> <br /> <span style="font-size: x-small;">-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-</span></span></span><br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-21191446511523463252016-10-20T08:30:00.002+07:002016-10-20T08:30:17.116+07:00ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-u34frqRXqQM/WAgdiDk1RfI/AAAAAAAAG-c/UPtLmP3zPy009mZtTm--WSrrm1qntQuDACLcB/s1600/%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://2.bp.blogspot.com/-u34frqRXqQM/WAgdiDk1RfI/AAAAAAAAG-c/UPtLmP3zPy009mZtTm--WSrrm1qntQuDACLcB/s1600/%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259D%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2.jpg" /></a></div>
<b>10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)</b><br /><br />1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง<br /><br />2. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะมีจิตที่เหมาะสมกับการเติบโตของความทุกข์เป็นปกติ คือไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ แม้ปล่อยวางได้แล้ว แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ชั่วชีวิต ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน<br />
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา<br /><br />3. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริง ว่าชีวิตตามความเป็นจริงประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้แต่นึกเอาคิดเอาว่าชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้<br />
ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้<br /><br />4. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา แม้ตั้งเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร<br /><br />5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ จิตใจที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจะเป็นจิตใจที่มีความชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ<br />
หากไม่ต้องการให้จิตไหลลงต่ำ จิตก็จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป<br /><br />6. ผู้ที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมมีสติในระดับที่ต่ำ มีสติอยู่ในระดับสัตว์โลก สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง<br /><br />7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง<br /><br />8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์<br /><br />9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง<br /><br />10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์<br />
ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูณณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!<br /><br /><span style="font-size: x-small;">ขอบคุณบทความจาก : พศิน อินทรวงค์</span><br /><br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-77375376285635009922016-02-25T08:04:00.000+07:002016-02-25T08:04:30.711+07:00การพักผ่อนที่แท้จริง - พุทธทาสภิกขุ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://2.bp.blogspot.com/-XCZ_gQIazYI/Vs5Qp3G3vjI/AAAAAAAAE1w/1qARK1gG2_A/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259C%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="395" src="https://2.bp.blogspot.com/-XCZ_gQIazYI/Vs5Qp3G3vjI/AAAAAAAAE1w/1qARK1gG2_A/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259C%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">การพักผ่อนที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การเสวยสุขเวทนา แต่อยู่ที่การไม่เสวยเวทนาใดๆ</td></tr>
</tbody></table>
<span style="font-size: x-small;">source: vcharkarn.com/varticle/1087(ถอดเสียงคำบรรยายธรรม ของท่านพุทธทาสภิกขุ"การพักผ่อน")</span><br /> <br />
<b>หลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้น</b><br />วันนี้เราจะได้พูดกันถึงเรื่องการพักผ่อน บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนาก็ได้ แต่ขอให้สนใจฟัง แม้แต่เรื่องการพักผ่อนถ้าเข้าใจถึงที่สุด ก็จะเข้าใจถึงเรื่องนิพพาน ไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่ากับการพักผ่อนมากเท่ากับนิพพาน <br />ในขั้นแรกนี่อยากจะให้เข้าใจหลักเกณฑ์อะไรบางอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้น หลักเกณฑ์ที่จะกล่าวนี้ก็คือเรื่องที่เราเคยพูดกันอยู่เป็นประจำ ว่าเรื่องที่มีอยู่ในโลกนี้มันลึกซึ้งกว่ากันเป็นชั้นๆ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือเป็นเรื่องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ เป็น 3 ชั้น ความจริงในบาลีจะมีพูดเพียง 2 ชั้น คือเรื่องกายกับเรื่องจิต แต่ใช้คำว่าเจตสิก คือเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจิต ก็เลยมี 2 เรื่อง เรื่องกายิกะ กับเจตะสิกะ<br /><br />คือเรื่องทางกายหรือเรื่องทางจิตแต่นี่ก็ยังรู้สึกว่ายังเข้าใจยาก สู้เข้าใจอย่าง 3 ชั้นขั้นตอนไม่ได้ มันมองเห็นได้ง่ายกว่ากัน นี่ขอให้เข้าใจ กำหนดไว้สำหรับเป็นหลักเกณฑ์ศึกษา หรือเพื่อเข้าใจอะไรให้มันครบถ้วน เรื่องทางกายมันก็เกี่ยวกับร่างกาย เรื่องทางจิตก็เกี่ยวกับจิต แต่เรื่องทางวิญญาณนั้นขอยืมคำนี้มาใช้เพราะตัวหนังสือมันอำนวยให้ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญา ไอ้สติปัญญาน่ะเป็นเรื่องของจิต แต่มันก็แยกออกมาจากกันได้ นี่เป็นเหตุให้เรื่องการพักผ่อนเป็นเรื่องทางกาย เป็นเรื่องทางจิต เป็นเรื่องทางวิญญาณ คือถ้าเราจะเอาแค่เพียงสองเรื่องคือเรื่อง กายกับจิต มันจะอธิบายยาก คือต้องอธิบายจิตออกเป็นสองเรื่องอีกนั่นแหละ มันมีสามบริพท<br /><br />ทีนี้เอาเรื่องที่เขาใช้พูดกันในการศึกษายุคปัจจุบันนี้ ที่ใช้ภาษาสากล คือภาษาฝรั่ง มันก็แบ่งได้เป็นสามอย่างนี้เหมือนกัน คือเรื่องทางกาย หรือที่เรียกว่า Physical เรื่องทางจิตที่เรียกว่า Psychological บางทีก็ใช้คำว่า Mental แล้วมันยังมีอีกว่า Spiritual ก็เป็นเรื่องลึกยิ่งกว่าอีก คือจะเป็นเรื่องของสติปัญญา หรือเรื่องของวิญญาณในทางธรรมดา ไอ้คำว่า Spiritual นี่กลายเป็นคำธรรมดาไปเสียแล้ว ในหนังสือพิมพ์ธรรมดาๆของฝรั่งมันก็มีคำนี้อยู่ทั่วไป เพื่อให้แยกออกไปจากเรื่องทางกายกับเรื่องทางจิต ที่จะให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับพวกเราชาวไทยที่ศึกษาพระพุทธศาสนา มันก็จะมีหลักว่าความเจ็บไข้นี่มันก็แบ่งได้เป็นสามชั้น ถ้าเจ็บไข้ทางร่างกาย ทางเนื้อทางหนัง ก็ไปที่โรงพยาบาลที่เขาจัดการกับทางร่างกาย แต่ถ้าเป็นเรื่องทางจิต ก็ไปโรงพยาบาลโรคจิต<br /><br />แต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องทางวิญญาณก็ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า ในโลกนี้มันก็มีแต่เรื่องโรงพยาบาลทางกายกับโรงพยาบาลทางจิต ส่วนเรื่องทางวิญญาณนั้นไม่มี โรงพยาบาล ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าที่สอนให้แก้ไขในเรื่องทางสติปัญญา ระงับโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็เรื่องไม่มีตัวตน มันจึงจะหายโรคอย่างสิ้นเชิง เข้าใจหลักนี้ไว้ ก็จะเข้าใจเรื่องอื่นๆได้ง่าย<br /><br />โดยเฉพาะเรื่องการพักผ่อนที่กำลังจะพูด ในการพักผ่อนทางร่างกาย เพื่อหยุดความเหน็ดเหนื่อยทางร่างกาย การพักผ่อนทางจิต เพื่อหยุดความเหน็ดเหนื่อยทางจิต ส่วนพักผ่อนทางวิญญาณหรือทาง Spiritual นั้น ไกลไปกว่านั้นอีก คือพักผ่อนในเรื่องของความโง่ เราเหนื่อยทางกายเราก็นอน พักมันก็หาย เราเหนื่อยทางจิตก็หยุดคิด ทำสมาธิ แล้วมันก็หาย แต่ถ้ามันเหนื่อยทางวิญญาณ คือการยึดมั่นว่าตัวตนว่าของตนน่ะ มันไม่พอ มันต้องไปถึงความรู้ที่มันไม่มีตัวตนไม่มีการยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นตัวตนเป็นของตนน่ะ มันจึงพอ มันอยู่ไกลกันถึงขนาดนั้น แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีพูดกัน แม้ในการศึกษาของโลกที่ว่าสูงสุด ก็จะไม่พูดถึงการพักผ่อนทางวิญญาณ หรือจะพูดเรื่องทางวิญญาณบ้างก็ยังต่ำกว่านี้มาก<br />
<br />
เราก็ยังคุยหรืออวดได้ว่าพระพุทธศาสนายังไปได้ไกลกว่า คือมีเรื่องทางวิญญาณในการพักผ่อน ให้คนที่ร่างกายเขาสบาย จิตก็ปกติ แต่ยังไม่มีการพักผ่อนทางวิญญาณก็มี คือมันยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนในของตน มีของหนักกดทับอยู่บนวิญญาณ แม้ว่าคนนั้นมีร่างกายสบายดี มีจิตใจปกติ เฉลียวฉลาดเป็นนักปราชญ์ด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังมีการกดทับทางวิญญาณ ยึดมั่นถือมั่น เป็นของหนักอยู่เหนือวิญญาณนั่นแหละ<br /><br />ที่เคยพูดมาบ่อยๆแล้วว่า ไปยึดอะไรเข้าสิ่งนั้นก็เป็นของหนักทันที ยึดวัตถุก็หนักทางวัตถุ ยึดทางจิตก็หนักทางจิต ยึดทางวิญญาณก็หนักทางวิญญาณ แล้วคนทั่วไปก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์ มันก็เลยยังมีการยึดทางวิญญาณ คำว่ายึดในที่นี้หมายถึง จับเอาไว้ ยกขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ ไม่ได้วางอยู่กับพื้น เอาขึ้นมาถือไว้เมื่อไรมันก็หนักเมื่อนั้น ทางกายถืออะไรไว้ก็หนักทางกาย จิตถืออะไรไว้ก็หนักทางจิต วิญญาณหรือสติปัญญาไปยึดอะไรไว้ก็หนักทางวิญญาณ นี่ดูให้ดี ยึดถือทางวิญญาณหรือเจ็บป่วยทางวิญญาณ หนักทางวิญญาณนั้นล่ะเข้าใจยาก เราจึงไม่ได้รับการพักผ่อนในทางวิญญาณ แต่พักผ่อนทางกายเรายังทำได้ ไม่ได้พักผ่อนทางจิตเราก็ยังทำได้ถ้าจิตสงบเป็นสมาธิสักหน่อย<br /><br />แต่การยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของตนมันยังมีอยู่ มันเลยไม่เป็นการพักผ่อนทางวิญญาณ นี่เราควรจะเข้าใจเรื่องการพักผ่อนนี้ให้ถึงที่สุด ให้มองให้เห็นคุณค่าของการพักผ่อนจนเห็นชัดทีเดียวว่ามันจำเป็นที่สุด ถ้าไม่มีการพักผ่อนมันก็คือตาย ทางกายก็ต้องได้รับการพักผ่อน เหนื่อยก็นอนเสีย ธรรมชาติมันก็จัดไว้ให้แล้ว กลางวันทำงาน กลางคืนนอนหลับ ชดเชยกันไป มันถึงรอดตายอยู่ได้ ลองมีแต่ทำงานอย่างเดียวไม่มีพักผ่อนมันก็คือตาย การพักผ่อนนั่นน่ะก็เหมือนกับการสร้างกำลังชดเชยเข้าไว้ กำลังที่มันเสียไปในการทำงาน พอพักผ่อนมันก็กลับมาอีก เพื่อจะได้ใช้อีกในการทำงานต่อไป<br /><br />ถ้าไม่มีการพักผ่อน มันก็ไม่เกิดกำลังชนิดนี้ มันก็ไม่มีอะไรจะใช้เป็นกำลัง มันก็คือตาย มันก็เหมือนกับชาร์จแบตเตอรี่ ต้องชาร์จเรื่อยๆ ให้ใช้ได้ทุกวัน ถ้าใช้หมดแล้วไม่ได้ชาร์จก็ไม่มีใช้ ร่างกายนี้ก็มีการพักผ่อนนั่นแหละเหมือนกับการชาร์จให้มีแรงขึ้นมาใหม่เก็บไว้ใช้ต่อไป พอถึงเวลาใช้ก็ใช้ พอถึงเวลาพักผ่อนคือชาร์จก็ทำ มันก็มีแรงสำหรับใช้ต่อไป เรื่องทางจิตก็เหมือนกัน ถ้ามันเหนื่อยก็ต้องหยุด ต้องพักผ่อน โดยเฉพาะการทำสมาธินั่นแหละเป็นการพักผ่อนทางจิตที่ดี แต่ธรรมชาติมันก็จัดไว้ให้ด้วยเหมือนกันนั่นแหละ คือคนเราไม่ได้คิดนึกตลอดเวลา ถ้าคิดนึกตลอดเวลาคือคนบ้า เวลาที่ไม่คิดไม่นึกตลอดเวลามันก็มี แต่บางคนก็อาจจะไม่พอมันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ถ้าพักผ่อนให้พอมันก็มีกำลังจิตที่จะทำอะไรได้ ที่ลึกกว่านั้นคือ เรื่องทางวิญญาณ คือความโง่หรือความฉลาด มันมีความโง่คือไปยึดถือตัวตน<br /><br />เช่นยึดถือขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวตน เนี่ยมันหนัก มันถือของหนัก นั่นไม่เป็นการพักผ่อน มันจะต้อง ลด เลิก อย่างน้อยก็ลด อย่างมากก็เลิก เลิกความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นการพักผ่อน นี่เป็นเรื่องของนิพพาน<br />
<br />
<b>ไม่ใช่การพักผ่อน มันก็แค่เปลี่ยนงาน</b><br />
ถ้าเข้าใจเรื่องการพักผ่อนในทางวิญญาณก็คือเข้าใจเรื่องพระนิพพานนั่นเอง ไม่มีอะไรจะเป็นการพักผ่อนทางจิตทางวิญญาณนอกจากนิพพาน นี่การพักผ่อนมันเป็นอย่างนี้ ขอให้พยายามเข้าใจ คือเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งหมด เรามีร่างกายก็มีการพักผ่อนทางกาย เรามีจิตก็มีการพักผ่อนทางจิต เรามีเรื่องของวิญญาณคือสติปัญญา ก็มีเรื่องการพักผ่อนทางวิวิญญาณ ทาง Physical ทาง Psychological ทาง Spiritual ใช้คำสากลที่เขาใช้กันทั่วโลก เขาก็มีคำพูด 3 อย่างนี้<br /><br />แต่กลัวว่าการพักผ่อนเขาไม่รู้ อ่านหนังสือในโลกที่เป็นเรื่องการพักผ่อน อย่างมากก็เป็นเรื่องทางจิต ทางกายน่ะรู้จักกันดีมาก แล้วก็นิยมกันมาก พักผ่อนทางจิตนี่รู้กันบ้างแต่ทำกันได้น้อย ส่วนการพักผ่อนทางวิญญาณน่ะไม่มีใครรู้และไม่มีใครนึกเอาใจใส่ ที่เราจะหยุดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนในเรื่องของตน ไม่มีใครรู้และไม่มีใครทำ นี่น่ะมันยังขาดอยู่มาก ฉะนั้นชาวพุทธจะมีอะไรอวดฝรั่งบ้างน่ะมันก็เรื่องอย่างนี้ คือเรื่องอะไรๆที่เป็นเรื่องทางวิญญาณ แม้แต่การพักผ่อน ก็มีการพักผ่อนทางวิญญาณ ทีนี้เขาไม่ได้พูดกันเพราะไม่รู้เรื่องหรือไม่คิดว่ามี แต่ชาวพุทธเรามันมี<br /><br />ทีนี้มาดูเท่าที่เขารู้จักกันอยู่ เขาก็รู้จัก เลิกงานก็ไปพักผ่อน ไปดูหนังดูละคร เขาก็คิดว่าเป็นการพักผ่อน นั่นน่ะเข้าใจผิด เข้าใจว่าเรื่องกีฬาเป็นการพักผ่อน ความจริงน่ะไม่ใช่การพักผ่อน มันก็แค่เปลี่ยนงาน ไปดูหนังดูละครมันก็ยังเหน็ดเหนื่อยเรื่องดูเรื่องคิดเรื่องนึก อารมณ์ปรุงแต่งไปตามหนังตามละคร ไม่อย่างนั้นมันก็ร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ได้ ถ้าหนังกับละครมันไม่ปรุงแต่งทางจิตใจ ไอ้คนไปดูมันก็ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ แสดงว่ามันปรุงอยู่เรื่อย จะพักผ่อนมันต้องหยุดสิ่งเหล่านั้น แต่เขาคงไม่รู้จัก มันก็เลยเพียงแต่ว่าเปลี่ยนความเครียด ไปเครียดโดยไม่รู้สึก โดยเป็นความเครียดทางวิญญาณที่เขาไม่รู้สึก เขาไม่รู้จัก และเขาไม่ได้พูดถึงการพักผ่อนทางนี้<br /><br /><span style="color: blue;">จิตนั้นถ้ามันยังเสวยสุขเวทนาอยู่มันก็ไม่ได้พักผ่อน จิตยังจะทำหน้าที่การงานเสวยสุขเวทนาคือการพักผ่อน ต่อเมื่อว่างไม่เสวยเวทนาอะไรจึงจะเป็นการพักผ่อนที่แท้จริง นี่มันคือการเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนการงาน เปลี่ยนรูปแบบการพักผ่อน โดยคิดว่าเป็นการพักผ่อน ยังเข้าใจว่าการเสวยสุขเวทนาเป็นการพักผ่อน นี่ถึงแม้จะทางจิต อยู่ในสมาธิก็เสวยเวทนาในสมาธิ เป็นความสุข มันก็เป็นการทำงานละเอียดๆขึ้นไป ยังไม่ใช่การพักผ่อนคือวางทิ้งโดยสิ้นเชิง ถ้าพักผ่อนโดยสิ้นเชิงก็ต้องว่าง โดยไม่เสวยเวทนา ถ้าเป็นเรื่องของสมาธิมันก็ต้องเลยขึ้นไปจนถึงพวกเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ เป็นอรูปฌาณขั้นสุดท้ายหรือเป็นสัญญาเวทะยิตะนิโรธ </span><br />
<br />
นั่นคือหยุด หยุดเวทนา หยุดสัญญา หยุดความคิดนึกทั้งปวง นั่นจึงจะเป็นการพักผ่อน แต่แล้วมันก็ไม่ถึงที่สุด เพราะพอออกมาจากสมาธิ จากฌาณแล้ว มันก็ไปยึดถือตัวตนของตนอีก บางทีก็ไปยึดถือเอาความสุขที่เกิดจากสมาธิชั้นสูงของตนอีกมันก็ไม่ใช่พักผ่อน มันต้องว่างทั้งปวงที่เป็นการนิพพานน่ะจึงจะเป็นการพักผ่อน ดังนั้นอย่าไปละเมอเขลาๆตามที่เขาพูดกันหลังจากทำงานหนักว่าไปเล่นกีฬา ไปดูหนังดูละครเป็นการพักผ่อน พักผ่อนชนิดนั้นไม่ใช่การพักผ่อนที่แท้จริง มันแค่เปลี่ยนความเครียด หรือว่าเราจะไปชายทะเลที่เวิ้งว้างนี่ก็ไม่เรียกว่าเป็นการพักผ่อน มันยังได้ความยินดีจากชายทะเล<br /><br />ทีนี้มาดูกันถึงเรื่องของพวกเรา บวชเนี่ย จะเป็นการพักผ่อนซักกี่มากน้อย ถ้าบวชจริงซึ่งหมายถึงไปเรียนจริง ไปปฏิบัติจริง ได้ผลจริง นั่นน่ะเป็นการพักผ่อนมากกว่าที่จะเป็นฆราวาส การบวชนี่ก็จะกลายเป็นการพักผ่อนในความหมายที่กว้างขวาง แล้วก็ว่างจากการรบกวนที่ทำให้เกิดความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นมากกว่าในฆราวาส เพราะในเพศฆราวาสนั้นมีอะไรมาทับถมทุกๆด้าน ทุกๆอย่าง มีคนเขียนโคลงไว้บทหนึ่งว่าไอ้เพศฆราวาสนั้นน่ะเป็นเหมือนกับซ่องที่สะสมซ่องสุมความกดดันความทะเยอทะยานอยาก<br /><br />แต่ชีวิตบรรพชิตนี้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ว่างโปร่งเหมือนกับท้องฟ้า ข้อความนี้เป็นบาลี แต่เขามาแต่งเป็นโคลงเป็นกลอนในภาษาอังกฤษ ดูสิถ้าบรรพชาจริงก็จะเกิดความว่างจากการรบกวน ก็เลยเรียกว่าเป็นการพักผ่อน เพราะมีความว่าง ได้ว่างจากสิ่งที่รบกวน ในการบวชถ้าเป็นเรื่องทางระเบียบทางวินัยมันก็พักผ่อนมากเหมือนกัน แต่ถ้าทางบวชทำไปได้ไกลมันก็มีสมาธิ อยู่สมาธิเป็นประจำก็พักผ่อนมากขึ้นไปอีก แล้วยิ่งถ้าไปถึงสมาธิในขั้นอรูปฌาณหรือปัญญาเวทะยิกะนิโรธมันก็ยิ่งพักผ่อนที่สุดในอย่างที่มีอารมณ์อยู่ แต่ถ้าการบวชนั้นเป็นการบรรลุนิพพาน ก็จะเป็นการพักผ่อนที่สุด<br /><br />เพราะฉะนั้นพูดว่าการบวชเป็นการพักผ่อนก็ถูกต้องที่สุด แต่มันก็มีอยู่เป็นชั้นๆของการบวช บวชสักว่าบวช อย่างทำตามวินัย ทางกายทางวาจา ทำสมาธิอยู่ด้วยสมาธิก็เป็นการพักผ่อนทางจิต ถ้าเป็นการบรรลุมรรคผลก้เป็นการพักผ่อนทางวิญญาสูงสุดไม่มีอะไรมารบกวน ความเครียดทางวัตถุตามร่างกายอยู่ระดับต่ำสุด ความเครียดทางจิตก็อยู่เหนือขึ้นไป ความเครียดทางวิญญาณนั่นน่ะสูงสุด ซึ่งมันละเอียดๆสุขุมเข้าใจได้ยาก แต่มันก็มีอยู่<br /><br />ฉะนั้นเราจึงพูดว่าการบวชเป็นการพักผ่อน มากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับจะประพฤติปฏิบัติอะไรบ้าง เพียงไหน ถ้าทำได้ถึงที่สุดก็เป็นการพักผ่อนถึงที่สุด แต่เรื่องอย่างนี้ก็ต้องเข้าใจว่าฆราวาสก็ทำได้ตามสติกำลัง แต่มันไม่มากคือมันไม่สะดวกหรือง่ายเท่ากับการบวช ถ้าบวชไม่ได้ก็ทำเท่าที่ทำได้ในเพศฆราวาสเพื่อการพักผ่อนที่ถูกต้อง คือพอสมควร มิฉะนั้นมันจะเป็นทุกข์ เป็นบ้า หรือมันจะตาย ตามหลักธรรมะก็ไม่ได้มีว่าทุกคนจะต้องบวช เพราะคนบวชไม่ได้ก็มี แต่แม้บวชไม่ได้จะอยู่เป็นฆราวาสก็ยังเป็นทุกข์ การดับทุกข์จึงเป็นหน้าที่แม้แต่ของพวกฆราวาส ถึงแม้จะไม่สะดวก จะอึดอัดขัดข้อง ก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้<br /><br />ถ้าบวชมันสะดวกเพราะชีวิตแบบบวชมันสะดวก ถ้าบวชได้ก็บวช ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำในเพศฆราวาสนั่นเอง แม้แต่เรื่องการพักผ่อนทางจิตทางวิญญาณ ก็ขอยืนยันว่าฆราวาสก็ทำได้ แต่ก็ต้องทำเท่าที่จะทำได้จะเป็นผลดีที่สุด พักผ่อนทางกายก็รู้อยู่แล้วไม่ต้องพูด พักผ่อนทางจิตฆราวาสก็จะสามารถทำสมาธิให้จิตเป็นสมาธิตามสมควรที่ฆราวาสจะอำนวยให้ได้ จะมากหรือน้อยก็ได้ แล้วแต่โอกาส แล้วแต่ความสามารถ ฆราวาสก็สามารถจะเลื่อนขึ้นไปถึงชั้นสติปัญญาในเพศฆราวาสนั่นแหละ คือพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแม้อยู่ที่บ้านที่เรือนในเพศฆราวาสนั้นแหละ อย่าบ้ากันไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นตามโอกาส ก็จะเกิด<br />
<b><br /></b>
<b>นิพพาน ...ยอดสุดของการพักผ่อน</b><br />
การพักผ่อนทางวิญญาณ แม้ในเพศฆราวาส คือเวลาที่เบาสบาย ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นพักๆ ที่จริงเรื่องนี้น่ะคนมันไม่มองเอง ธรรมชาติมันจัดมาไว้ดีแล้ว ฆราวาสก็มีเวลาที่จิตมันว่างจากการยึดมั่นถือมั่นเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นมันตายไปก็เป็นบ้ากันหมด เวลาที่จิตมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นมันก็มีอยู่ ซึ่งเคยบอกอยู่ เคยเตือนนักเตือนหนาว่าให้ดูให้ดี ว่าเวลาที่จิตมันว่างมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรน่ะมันก็มี แต่มันน้อย เพราะมันมีได้ยากในเพศฆราวาส คนจึงไม่ได้สนใจ แต่มันก็มี เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นน่ะมันเป็นสังขาร มันมีการเกิด มันมีการดับ เมื่อมีเหตุปัจจัยมันก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา เมื่อไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ความยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มี มันดับ<br /><br />แต่เวลาอย่างนี้น่ะมันน้อย เพราะฆราวาสมันมีเรื่องมากให้ไปยึดมั่นถือมั่น แต่อย่างน้อยเวลาพักผ่อนนอนหลับมันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นชั่วขณะ และเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นไปโดยการจับหรือการกระทำของเรา แต่ถ้าเราไปศึกษาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้มาก ก็จะสามารถทำได้มากขึ้นกว่าที่ธรรมชาติมันจะจัดให้ ขอร้องให้ทุกคนสนใจ พยายามสนใจ ให้รู้จักเอาเวลาซักแว่บหนึ่ง สักขณะหนึ่ง หาจิตที่มันว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร สบายที่สุด มันจะมีอยู่แต่คนไม่สังเกต เพราะมันโง่ แล้วคนมันก็ชอบให้สบายใจ ชอบให้เอร็ดอร่อย ชอบให้สนุกสนาน มันก็อยู่ไม่สุข เกิดอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป ไม่ค่อยได้พบกับความว่าง<br /><br />แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังบังเอิญมีแว่บหนึ่งที่มันว่าง มันสบายที่สุด แต่เราก็ไม่รู้เพราะเหตุอะไร ไม่สังเกตว่าเวลาที่ว่างที่สุด ที่จิตไม่ถูกปรุงแต่งนั่นน่ะมันสบาย เมื่อวานนี้ก็ได้พูดถึงอุปมาของชีวิต คงจะมีคนได้ฟัง พูดอีกทีก็ได้เผื่อไม่มีคนได้ฟัง ว่าชีวิตของคนธรรมดานั้นน่ะมันยากจากการปรุงแต่ง เพราะมันเคยชินความยึดมั่นถือมั่น การปรุงแต่งนั่นน่ะ มาตั้งแต่คลอดออกจากท้องแม่ มันก็เริ่มปรุงแต่ง เริ่มยึดมั่นถือมั่นเป็นทิศทาง เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต จนมันรู้จักอยาก รู้จักหวัง รู้จักต้องการ รู้จักยึดมั่นถือมั่นยิ่งขึ้นๆ จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็มีอาการผูกหัวผูกคอดึงขึ้นไปข้างบน ด้วยความหวัง ด้วยความอยาก<br /><br />ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่พอใจปรารถนา หวังจะได้ในอนาคตนั่นน่ะถูกดึงขึ้นไปข้างบน ส่วนทางข้างล่างมันก็มีความหวาดกลัว ความระแวงว่าจะสูญหาย จะเสียไป นี่ก็เหมือนถูกเชือกผูกขาดึงลงไปข้างล่างอีกทางหนึ่งด้วยความหวาดกลัวด้วยความระแวง ด้วยความกลัวที่มันจะไม่ได้ มันจะสูญหายไป มักจะเป็นเรื่องของอดีต ข้างบนก็ดึงจนตึง ข้างล่างก็ดึงสุดเหวี่ยง อยู่อย่างนี้ แล้วตรงกลางก็เอาไฟราคะลน กำหนัดทางอารมณ์ ไฟโทสะโกรธแค้นลนๆเข้าไป ตรงกลางก็ถูกลนด้วยสองไฟ ข้างบนก็ถูกลนด้วยไฟอยาก ข้างล่างนี่เอาไฟความโง่ ไฟโมหะดึงลงไป มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัว ความหวาดระแวงว่าจะสูญเสีย กลัวทุกอย่างแม้กระทั่งกลัวตาย ลองคำนวณดูสิว่ามันจะมีความพักผ่อนได้อย่างไรก็ในข้อเท็จจริงนี่มันถูกกิเลสดึงอยู่ในลักษณะอย่างที่ว่านี้ คิดดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ถ้าเห็นว่าไม่จริงก็ขอให้กลับไปดูเสียใหม่<br /><br />ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาเป็นปุถุชนมีกิเลสครบสมบูรณ์แบบก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแล ต่อให้เป็นพระเป็นบรรพชิตก็เป็นอย่างนี้แล อาการที่ถูกขึงพรืด เอาไฟลนตรงกลางมันก็มีอย่างนี้ ทั้งฆราวาสและบรรพชิตที่สักแต่ว่าบวช บวชตามวินัย ตามพิธีรีตองมันก็ยังละอะไรไม่ได้ เว้นแต่จะบวชจริงเรียนจริงค่อยๆพัฒนาขึ้นไปอย่างนี้มันจะค่อยทุเลาลงได้ มันมาจากความรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อมันมีมากเท่าไหร่ ความอยากมันก็ลด ความโง่มันก็ลด ความโกรธมันก็ลด มันก็เป็นการพักผ่อน นี่เราดูให้ดีว่าชีวิตมันมีลักษณะอย่างนี้ เรื่องละเอียดเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องสุขุม เป็นเรื่องมองเห็นยาก<br /><br />แต่ถ้าพยายามจะมองมันก็มองเห็นได้ แล้วยิ่งทำสมาธิภาวนาทำอย่างนี้เสมอๆไปก็ยิ่งเห็นชัด เห็นความทุกข์ เห็นสังขารในชีวิต ถ้าเห็นความทุกข์ ความไม่เที่ยงแล้ว จิตมันก็น้อมไปพระนิพพาน ก็เป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน ถ้ามันโง่มันมองไม่เห็นมันก็จมอยู่ที่นี่ ขลุกอยู่ที่นี่ ถ้ามองเห็น มันก็อยากจะออกไป ออกไปจากวัฏสงสาร ไปสู่ที่ว่าง ที่ว่างคือพระนิพพาน ขอให้เห็นความจริงพื้นฐานนี้เสียก่อนเถิด เรื่องมันจะง่าย มันจะเป็นไปตามธรรมชาติ ขอให้ทุกคนรู้จักความเครียด ไม่พักผ่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วความว่าง ความพักผ่อนนั้นเป็นอย่างไร เห็นให้มันชัดแจ้งมันก็น้อมจิตไปนิพพาน<br /><br />ขอให้สนใจว่าความจริงทุกอย่างมันแสดง มันมีอยู่แล้วในตัวชีวิต มันแสดงให้เห็นอยู่แต่คนมันก็ไม่เห็น เพราะว่าดูไม่เป็น เพราะฉะนั้นต้องฝึกฝนการดู คือการทำสมาธิเป็นต้นนั่นแหละ มันก็จะคิดถูกว่าต่อไปจะทำอย่างไร จะไปทางไหน พอเห็นชัดมันก็อยากจะออกจากกองทุกข์ มีจิตน้อมไปพระนิพพาน การปฏิบัติมันก็ง่ายนี่แหละ เพราะจิตมันน้อม มันเข้ารูปเข้ารอยไปหมด ถ้าจิตมันยังหลงมันก็ยังไม่พักผ่อน มันก็ไม่รู้ทางไปพระนิพพาน จมอยู่ในความทุกข์ทรมานไม่รู้จักเป็นสุข ความลับมันมีอยู่ที่คนเรามันชอบความสนุกสนานพอใจ ชอบความเอร็ดอร่อย เห็นว่านั่นน่ะดีที่สุดไม่มีอะไรดีกว่า พอเค้าพูดถึงนิพพานมันก็นึกว่าอย่างนี้ๆมากขึ้นไปอีก เอร็ดอร่อยสนุกสนานยิ่งขึ้นไปอีก ขอให้คิดแล้วกันว่าเวลาที่จิตมันเป็นบวก มันสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ร่าเริงน่ะ จิตมันเป็นบวก ถ้ามันไม่ได้อย่างนั้นก็เป็นลบ<br /><br />คนเรามันชอบดีใจ ไม่ชอบเสียใจเป็นทุกข์ แต่มันควรจะสังเกตเห็นได้เองว่าดีใจนั้นน่ะมันไม่ใช่การพักผ่อน เรากำลังพูดถึงการพักผ่อน ดีใจๆๆเดี๋ยวมันก็ขาดใจตาย ดีใจมันเป็นการทำงานอย่างหนักด้านจิตด้านวิญญาณ เสียใจมันก็กินข้าวไม่ลง เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างจึงไม่ใช่การพักผ่อน ไม่ได้พักผ่อนทางกายจะตายทางกาย ไม่ได้พักผ่อนทางจิตเราจะตายทางจิต ไม่ได้พักผ่อนทางวิญญาณมันก็จะตายทางวิญญาณ การเหลือความว่างเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ค่อยๆคิดไปแล้วก็จะเห็นความจริงเอง จิตที่ยังอยู่ภายใต้อวิชชา ไม่รู้จักว่าบวกกับลบเป็นของเลวร้าย มันก็ไม่รู้จักคิด มันก็ตาย วุ่นๆขึ้นมา ถ้ามันว่างจริงๆอย่างพระอรหันต์มันก็จะไม่วุ่น อยู่ในท้องแม่ จิตก็ว่าง คลอดออกมามันก็ยังว่าง แต่พอมันใช้สัมผัสลง เช่นรสทางลิ้นสัมผัสน้ำนมแม่ มันก็เริ่มอยาก เอร็ดอร่อย พอใจยิ่งๆขึ้นไป<br /><br />พอสัมผัสมีก็มีมากขึ้น ราคะ โทสะ โมหะมันก็มีๆๆมากขึ้น มันก็โง่ๆๆ สุดเหวี่ยง ไม่รู้จักการพักผ่อน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นยอดสุดของการพักผ่อน จิตเป็นสิ่งที่ทำได้อบรมได้ ฝึกได้ เกิดมาถ้าไม่ถึงจุดสูงสุดถึงสิ่งที่ควรจะได้ โง่แล้วฉลาดๆ มันจึงจะรู้จักแก้ความทุกข์คือพระนิพพาน จุดสุดท้ายก่อนตายเป็นจุดนี้ก็เป็นการดี อย่าฝากไว้ชาติหน้าเลย ถ้าพบการพักผ่อนที่จริงอย่างนี้เสียแล้วก็ไม่เสียชาติเกิด อย่างที่เรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาในพุทธศาสนา ขอให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเหมาะสมเสียทีที่จะตาย ให้ได้รับอย่างที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนาทุกๆคนเทอญ<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-74355475115460311932015-09-24T10:26:00.002+07:002015-09-24T10:26:54.575+07:00การเชื่อมโยงจิตวิญญาณ และสุขภาพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-K4ZbMdO03Fs/VgNqTxOh4sI/AAAAAAAADnU/06BaSWpkLSw/s1600/personality-in-relationship-to-self-awareness.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="286" src="http://2.bp.blogspot.com/-K4ZbMdO03Fs/VgNqTxOh4sI/AAAAAAAADnU/06BaSWpkLSw/s320/personality-in-relationship-to-self-awareness.jpg" width="320" /></a></div>
<b>จิต </b>นับแต่อดีตกาล คือการตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน ผู้คนมากมายพยายามหากิจกรรมฝึกจิต โยคะ นั่งสมาธิ หรือการกำหนดจิต<br />
<br />
คำถามที่ว่าทำไมการใช้ชีวิตของคนสมัยใหม่ที่เคร่งเครียด และสุ่มเสี่ยง จึงกระตุ้นให้เราค้นหาบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ใช่เพียงความสุขทางกายเท่านั้น แต่จำเป็นต้องสุขใจด้วย<br />
<br />
ปัจจุบันนักวิจัยพิสูจน์ประโยชน์ของการฝึกจิต ซึ่งมีหลักฐานมากมายบ่งบอกว่า จิตที่แข็งแรงช่วยปกป้องร่างกายจากโรคภัยดีกว่าวิทยาศาสตร์ทุกแขนงรวมกันเสียอีก<br />
<br />
แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัด แต่มีงานศึกษาหลายชิ้นระบุว่า คนเคร่งศาสนามักจะสุขภาพดีกว่าคนทั่วไป ความรู้สึกนึกคิดบวกกับจิตวิญญาณมีส่วนช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก<br />
<br />
จิตวิญญาณเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงคุณเข้ากับความสุขของการเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งช่วยให้ค้นพบตัวตนใหม่ๆ และสัมผัสถึงคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง<br />
<span style="font-size: x-small;">women's Health / October 2014</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-53876758009133373842015-08-27T07:49:00.002+07:002015-08-27T07:49:59.096+07:00วินาทีก่อนตาย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-1OCnIxrlL5s/Vd5dzOpR6LI/AAAAAAAADc8/jFCA8H5FGSk/s1600/titanic-pic.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="255" src="http://4.bp.blogspot.com/-1OCnIxrlL5s/Vd5dzOpR6LI/AAAAAAAADc8/jFCA8H5FGSk/s400/titanic-pic.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<b>วินาทีก่อนตาย มนุษย์จะเห็นอะไร</b><br /><br />ในวินาทีที่บุคลหนึ่งบุคคลใดกำลังจะถึงแก่ความตาย ปกติแล้ว เมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จิตของผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนการภาวนาเลยจะควบคุมได้ยากมาก<br /><br />ก่อนที่จิตสุดท้ายจะดับไปสู่ความตาย จิตจะต้องเข้าภวังค์เสียก่อน ภวังค์จิตก่อนตายนี้ มีลักษณะพิเศษ คือประสาทสัมผัสจะดับ หูไม่ได้ยิน ตาไม่เห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส กายไม่รู้สัมผัส พูดง่ายๆ ว่าร่างกายไม่ทำงานแล้ว แต่จิตยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นเองจะมีนิมิตปรากฏขึ้นในภวังค์จิต ได้แก่<br /><br /><b>1.กรรมอารมณ์ปรากฏ</b> คือสิ่งที่ทำไว้ใน ชาตินี้ หรือชาติก่อน จะมาปรากฏในภวังค์จิต เป็นลักษณะเหตุการที่ดำเนินไปเรื่อยๆ คล้ายดูภาพยนต์ ไม่ได้เจาะจงจุดใดจุดหนึ่ง<br /><br /><b>2.กรรมนิมิตอารมณ์ปรากฏ</b> กรณีนี้จะไม่ปรากฏเป็นภาพในภวังค์จิต แต่จะปรากฏเป็นภาพ กุศล หรือ อกุศล ที่ตนเคยทำไว้ในชาตินี้แทน ซึ่งจะมีความชัดเจนมาก เช่นเห็นภาพตอนที่ตนเองไปทำบุญทำกุศล (สร้างกรรมดี) ไปช่วยสร้างวัดฯ หรือเห็นสัตว์ตัวที่เคยฆ่าไว้ ซึ่งจะทำให้ ไปเกิดทันที่ ด้วยผลกรรมที่รุนแรง<br /><br /><b>3.คตินิมิตอารมณ์ปรากฏ</b> คือเกิดนิมิตเป็นผล แห่งกรรม เช่นเห็นเป็นภพภูมิตามผลกรรมที่ตนกระทำไว้ เห็นเป็น นรก สวรรค์ เป็นวิมาน เป็นเทวดา นางฟ้า หรือเปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉาน เป็นผลแห่ง กรรม จากการกระทำนั้นๆ เป็นต้น!!!<br /><br />ซึ่งนิมิตทั้ง 3 นี้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ก่อนเสียชีวิตจะเกิดนิมิตแบบไหนขึ้น บางคนอาจคิดว่า จะใช้ประโยชน์จากจิตสุดท้าย ซึ่งเคยได้ยินว่า ในชีวิตจะทำอะไรมาก็ตาม ถ้าจิตสุดท้ายคิดดี ก็เป็นอันว่า ได้ไปเสวยสุขอยู่แดนสวรรค์ ก็ต้องขอบอกว่า<br /><br /><span style="color: red;"><b>กฏแห่งกรรม</b></span> มิได้มีความโง่เขล่าถึงเพียงนั้น ความคิดเช่นนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก เพราะจิตที่กำลังจะปฏิสนธิจิต เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เป็นจิตที่มีความรุนแรง ควบคุมได้ยากมาก สมัยพุทธกาล มีสตรีผู้หนึ่ง กระทำความดีมาตลอดชีวิต อยู่ในศีลธรรมตลอด หากแต่วาระสุดท้าย จิตพลิกไปคิดถึงความผิดอันน้อยนิดที่เคยทำไว้ ยังบันดาลให้นางต้องไปชดใช้กรรมอยู่ในนรกภูมิชั่วระยะเวลาหนึ่ง<br /><br />พลังจิตนี้เอง จะสามารถช่วยผู้ที่ฝึกจิตในช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้ได้ เพราะผู้ฝึกจิตทุกคนจะมีความคุ้นเคยกับการเข้าภวังค์ ยิ่งมีพลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสามารถควบคุมการทำงานของจิตในภวังค์<br /><br />ซึ่งภวังค์ในสมาธิก็มีความคล้ายคลึงกับภวังค์ในจิตสุดท้ายมาก นักพลังจิตที่มีความรู้จะใช้โอกาสทองนี้ ยกจิตขึ้นสู่ฌานสมาธิ ส่งจิตไปสู่พรหมโลก หรือหากแม้ผู้ฝึกจิตมีความเชียวชาญในการทำวิปัสสนาอยู่แล้ว ก็อาจใช้ช่วงเวลาดังกล่าว พิจารณาธาตุขันธ์ จนเห็นความเกิดดับ ตัดตรงเข้าสู่นิพพานก็ยังได้ เรียกว่า เป็นการใช้ภวังค์แห่งความตาย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นคือใช้เพื่อการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้าย นั่นเอง<br /><br />ฉะนั้น ผู้ที่หวังไปสู่ สุคติ ภูมิฯ ไปสู่ทีดีมีความสุขในภพภูมิ ต่อไปข้างหน้า ต้องหมั่น ทำแต่ความดี ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ทำบุญสร้างกุศลสร้างแต่กรรม ดี !!! และหมั่นฝึกฝนวิปัสสนาฯ ให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะ เราไม่รู้ว่า เมื่อไหร่??? ที่เราหมดอายุขัย หมดเวลาในโลกนี้ !!!<br /><br />
<span style="font-size: x-small;">หนังสือ อำนาจพลังจิต :วศิน อินทรวงค์</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-51004106865682216442015-05-25T09:52:00.001+07:002015-05-25T09:52:59.302+07:00อนาพาธ เพื่อความไม่อาพาธ ของเหล่าภิกษุไทย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-mx6TSqHYtWI/VWKIktHASKI/AAAAAAAADAo/gPSVZuWthLk/s1600/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2598.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="276" src="http://4.bp.blogspot.com/-mx6TSqHYtWI/VWKIktHASKI/AAAAAAAADAo/gPSVZuWthLk/s400/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2598.jpg" width="400" /></a></div>
<b>อนาพาธ เพื่อความไม่อาพาธ ของเหล่าภิกษุไทย</b> สืบเนื่องจากหลายๆการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพพระสงฆ์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบัน พบว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพถึงประมาณร้อยละ 30-50 ทั้งที่สาเหตุของการเกิดโรคส่วนใหญ่ สามารถป้องกันได้ ถ้ารู้วิธี สำนักพิมพ์ฮาวฟาร์ เห็นความสำคัญของการนำวิธีป้องกัน ตลอดจนวิธีรักษาตัวอย่างถูกต้อง มาเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ทั้งสำหรับพระภิกษุสงฆ์ และทั้งสำหรับฆราวาสเอง<br />
<br />
<b>อนาพาธ</b> เป็นคำปฏิเสธการ อาพาธ ของพระภิกษุไทย ฉะนั้นจุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ เป้นคู่มือบอกทั้งวิธีป้องกัน ตลอดจนวิธีรักาาตัวที่เหมาะสมกับเหล่าท่านผู้ครองผ้าเหลือง<br />
<br />
เนื้อหาตามที่ปรากฏในไฟล์ PDF ซึ่งให้ดาวน์โหลดได้ตั้งแต่บัดนี้นั้น ถือว่าครบถ้วนบริบูรณ์ตามจุดประสงค์ของการสร้างหนังสือ ‘อนาพาธ’ แล้ว แต่ระหว่างการรอยอดสมทบเพื่อจัดพิมพ์จริง ยังอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะด้วยการขอเพิ่มเติมตกแต่งข้อมูลจากทางคณะแพทย์ หรือจากท่านผู้อ่านที่ท้วงติงเกี่ยวกับคำสะกด<br />เรื่องที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ มีดังนี้<br /><br />- พระสงฆ์อาพาธอาจเพราะฆราวาสทำ<br />- คำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร<br />- ข้อคิดในการออกกำลังกายตามหลักพุทธศาสนา<br />- อาการปวดหลังและแนวทางบริหาร<br />- อาการปวดเข่าและภาวะเข่าเสื่อม<br />- การดูแลสุขภาพช่องปาก<br />- ความรู้ทั่วไปเรื่องโรคเบาหวาน<br />- โรคหลอดเลือดสมอง<br />- กาลิก 4 กับโรคหัวใจและหลอดเลือด<br />- การดูแลผู้เป็นลม<br />- มาทำความรู้จักโรคไตกันเถอะ<br />- ภาวะต่อมลูกหมากโต<br />- การดูแลโรคผิวหนังที่พบบ่อย<br />- สารเคมีกระเด็นเข้าตาทำไงดี?<br />- วิธีดูแลตนให้พ้นโรคภูมิแพ้<br />- ความเครียดและการจัดการความเครียด<br />- วิธีเลิกบุหรี่ด้วยตนเอง<br />- ตู้ยาถวายพระ<br />- การตรวจสุขภาพประจำปีและการขอเข้ารับการพยาบาล<br /><br /> <br />
<a href="http://dungtrin.com/anapath/anapath.pdf" target="_blank"><span style="font-size: x-small;"><span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"*G","type":45}" id="fbPhotoPageCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption">ดาวน์โหลดไฟล์ PDF หนังสือ ‘อนาพาธ’ </span></span></span></a><br />
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"*G","type":45}" id="fbPhotoPageCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span class="text_exposed_show"></span></span></span><br />
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"*G","type":45}" id="fbPhotoPageCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span class="text_exposed_show"><span style="font-size: x-small;"><br />ดังตฤณ</span></span></span></span><br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-60170708798266410602015-04-21T10:35:00.000+07:002015-04-21T10:35:09.300+07:00ไม่มีทุกข์โทมนัสอันอาศัยกุศล<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-3OKFV5QERlc/VTXEI26K_7I/AAAAAAAAC0c/lZ5Ys2XF9Mg/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-3OKFV5QERlc/VTXEI26K_7I/AAAAAAAAC0c/lZ5Ys2XF9Mg/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98.jpg" /></a></div>
ฆราวาสที่สนใจแต่เรื่องวิบากผลแห่งบุญ เช่นกามสุขเป็นต้น ในความเป็นฆราวาสนี้ก็ดี หรือว่าบุญที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ดี ไม่สนใจในเรื่องการดับเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่นนั้น นับว่ายังไม่ได้รับสิ่งที่ฆราวาสควรจะได้รับ<br /><br /> อนาถปีณฑิกคหบดี เพิ่งมารูสึกในเรื่องนี้อย่างจริงจังในบั้นปลาย ในตอนปลาย คือเรื่องมีว่า เมื่อเจ็บหนักจวนจะสิ้นชีวิตอยู่แล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัสใช้พระอานนท์และพระสารีบุตร ให้ไปเยี่ยมไข้ของอนาถปิณฑิกดคหบดี ท่านก็เลยให้โอวาทแก่อนาถปิณฑิกคหบดีที่เจ็บหนักนั้นเป็นในความว่า “ดูก่อนคหบดี ในเรื่องการเจ็บไข้นี้ ท่านพึงทำความสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งจักษุ เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็จักไม่มีวิญญาณอันอาศัยจักษุ; ฯลฯ จักไม่ยึดมั่นซึ่งรูป ฯลฯ จักไม่ยึดมั่นถือมั่นนซึ่งจักขุวิญญาณ ฯลฯ ซึ่งจักขุสัมผัส ฯลชฯ ซึ่งจักขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ (อย่างนี้เรื่อยไปจนครบทั้ง 6 อายตนะ) จักไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งปฐวีธาตุคือธาตุดิน ฯลฯ จักไม่ยึดมั่นซึ่งรูปขันธ์ ฯลฯ จักไม่ยึดมั่นอากาสานัญจายตนะ ฯลฯ ไม่ยึดมั่นโลกนี้ ไม่ยึดมั่นโลกอื่น ฯลฯ อารมณ์ใด ๆ ที่เราเห็นแล้ว ฟังแล้ว รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว แสวงหาแล้ว เชื่อแล้วด้วยใจ เราจักไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งอารมณ์นั้น ๆ แล้วิญญาณนั้น ชนิดนั้น ๆ อันอาศัยอารมณ์นั้น ๆ ก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้” นี่พระเถระได้เตือนสติอนาถปิณฑิกคหบดี ในวาระสุดท้ายด้วยเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น สูงสุดถึงอย่างนี้<br /><br /> ครั้นพระสารีบุตรได้กล่าวอย่างนี้แล้ว อนาถปิณฑิกคหบดี ได้ร้องไห้แล้วมีน้ำตามนองหน้าแล้ว ได้กล่าวแก่พระอานนท์ว่า “ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ข้าพเจ้ามิได้อาศัยชีวิตดอก มิได้มีใจจดจ่อในชีวิตดอก แต่ว่าพระศาสดาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งใกล้แล้ว ตลอดเวลานาน ภิกษุทั้งหลายที่เป็นที่ชอบพอกัน ก็มีเป็นอันมาก แต่ว่าธรรมกถามอย่างชนิดนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยฟังเลย” และได้กล่าวต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นขอธรรมกถาอย่างชนิดนี้ จงเป็นที่แจ่มแจ้งแม้แก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวทังหลายเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! กุลบุตรผู้มีชาติแห่งธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย ก็มีอยู่ในโลก เมื่อไม่ได้ฟังธรมะนี้แล้ วจะเสื่อมจากประโยชน์ เพราะว่าผู้ที่อาจจะรู้ทั่วถึงธรรมนี้ จักมี” แล้วอนาถปิณฑกคหบดี ก็ตาย นี้เป็นเรื่องของฆราวาสแท้ ๆ<br /><br /> ขอให้ลองคิดดูว่า คหบดีผู้นี้ร้องไห้เสียใจถึงที่สุด เพราะว่าเพิ่งจะมาได้ฟังเดี๋ยวนี้ ใกล้จะตายอยู่รอมร่อแล้ว ทำไมไม่ได้ฟังมาก่อนหน้านี้ ก็จะได้มีเวลาเข้าใจธรรมะนี้ ได้รับผลสูงสุดจากธรรมะนี้ เป็นเวลายาวนาน พระอานนท์ได้อธิบายข้อนี้ว่า เป็นของลึก ไม่ควรนำมาแสดงแก่ฆราวาส; เรื่องมันก็ไขว้เขวกันหมด<br /><br /> อนาถปิณฑิกคหบดีตัดพ้อว่า พระเถระที่คุ้นเคยกันก็มีเป็นอันมาก ทำไมไม่พูดเรื่องนี้ เข้าไปนั่งใกล้พระพุทธเจ้าก็นานนักหนามากแล้ว ทำไมไม่ได้ยินเรื่องนี้? แต่สูตรที่แล้วมาเมื่อตะกี้นี้ แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตักเตือนคหบดีว่าอย่าพอใจแต่เพียงว่า ได้บำรุงพระภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ฯลฯ ให้พยายามเข้าถึงปวิเวกปีติ ตามสมควรแก่เวลาอยู่เสมอ นี้ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าได้เคยทรงตักเตือนในข้อนี้<br /><br /> แต่เรื่องปวิเวกปีติ นั้น มันคงจะยากเกิดไปสำหรับอนาถปิณฑกคหบดีที่จะเข้าใจคำว่า จะไม่มีทุกข์โทมนัส อันเกิดจากกุศลทั้งหลาย; คงจะเข้าใจว่า ขึ้นเชื่อว่ากุศลแล้ว ก็จะไม่มีทุกข์โทมนัส; นั้นแหละเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งของ <a href="http://dharmahall.blogspot.com/2015/04/blog-post.html" target="_blank">อิทัปปัจจยตา</a><br /><br /> กุศลหรืออกุศลก็ตามใจ สุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตามใจ ถ้าใครมีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ย่อมเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสล่วงหน้าว่า ให้ไปสนใจ<a href="http://dharmahall.blogspot.com/2015/04/blog-post_21.html" target="_blank">ปวิเวกปีติ</a>กันเสียบ้าง ข้อนี้อนาถปิณฑกคหบดีเสียใจว่าขาดทุน เป็นเวลานานไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ทั้งที่นั่นใกล้พระพุทธเจ้า พระเถระที่ชอบพอกันก็มีเป็นอันมากทำไมไม่พูดเรื่องนี้? นี้ฆราวาสทั้งหลายลองคิดดูว่า เรากำลังจะซ้ำรอยกับเรื่องนี้บ้างหรืออย่างไร?<br /><span style="font-size: x-small;">พุทธทาสภิกขุ</span><br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-15858825990927518012015-04-21T10:21:00.002+07:002015-04-21T10:21:52.103+07:00ปวิเวกปีติ : ปีติที่เกิดมาจากความสงัดทางจิตใจถึงที่สุดนั้น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-zrlyTq2RX0w/VTW73DX_yQI/AAAAAAAAC0M/3jrUCaStvjg/s1600/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%94.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-zrlyTq2RX0w/VTW73DX_yQI/AAAAAAAAC0M/3jrUCaStvjg/s1600/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%94.jpg" /></a></div>
ปวิเวกปีติ คืออะไร? พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสต่อมากับพระสารีบุตรเพื่อขยายความข้อนี้ : พอพระองค์จะตรัสเรื่องลึกนี้ ก็หันพระพักตร์ไปทางพระสารีบุตรตรัสว่า "ดูก่อนสารีบุตร! สมัยใดอริยสาวกเข้าถึงซึ่งปวิเวกปีติ แล้วแลอยู่; สมัยนั้นเหตุ(ฐานะ)ทั้ง 5 ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น คือไม่มีทุกข์โทมนัสเพราะอาศัยกาม, และก้ไม่มีสุขโสมนัสเพราะอาศัยอกุศล, และก้ไม่มีทุกข์โทมนัสเพราะอาศัยกุศล". รวมเป็น 5 อย่าง<br />
<br />
อย่างที่ 1 ไม่มีทุกข์โทมนัสที่อาศัยกาม หมายความว่า การเข้าไปเกี่ยวข้องกับกาม ตามแบบของฆราวาสนั้น ไม่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้น<br />
<br />
อย่างที่ 2 ไม่มีสุขโสมนัสที่อาศัยกาม หมายความวาสไม่ลุ่มหลงในสุขที่เกิดจากกาม การที่ไปยินดีในความสุขอันเกิดจากกามนั้น เขาเรียกว่าเป็นผุ้มีสุขโสมนัสเพราะอาศัยกาม อย่างนี้ไม่ใช่ปวิเวกปีติ คือไม่ใช่วิเวกอันสงัดที่ควรจะยินดี ไม่ใช่ความสุขความยินดี ชนิดที่เรียกว่าปวิเวกปีติ<br />
<br />
อย่างที่ 3 ไม่มีทุกข์โทมนัสอันอาศัยอกุศล นี้หมายความว่าทำบาปแล้วก็มีทุกข์โทมนัส อย่างนี้ไม่มีปวิเวกปีติ มันเห็นได้ชัดเพราะว่า มันมีทุกข์โทมนัส แล้วก็อาศัยบาปอกุศลด้วย<br />
<br />
อย่างที่ 4 แม้แต่ว่าสุขโสมนัสที่อาศัยบาปอกุศลนั้น ก็ต้องไม่มี พวกคนพาลได้ทำบาปทำอกุศลแล้วก็พอใจเป็นสุข นี้ก้ไม่ใช่ปวิเวกปีติ จะเรียกว่าปวิเวกปีติไม่ได้<br />
<br />
อย่างที่ 5 อันสุดท้าย ไม่มีทุกข์โทมนัสอันอาศัยกุศล หมายความว่าการบำเพ็ญกุศล ในบางกรณีก็ต้องได้รับความลำบาก เพราะว่าการบำเพ็ญกุศลซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้โดยยากนั้น บางทีก็ต้องได้รับความลำบาก; ต้องไม่รู้สึกลำบากอย่างนี้ด้วย จึงจะเรียกว่ามีปวิเวกปีติ<br />
<br />
เป็นอันว่าสิ่งที่เรียกว่าปวิเวกปีติ คือ ปีติที่เกิดมาจากความสงัดทางจิตใจถึงที่สุดนั้น มีอยู่ 5 ลักษณะด้วยกัน อย่างนี้.<br />
<span style="font-size: x-small;">พุทธทาสภิกขุ</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-80951046285504790232015-04-20T09:06:00.001+07:002015-04-20T09:06:13.836+07:00เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการ ปฏิบัติภาวนา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-t8fcjRbqMdk/VTRd3Ku6URI/AAAAAAAACz4/MW5V1i92GWk/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-t8fcjRbqMdk/VTRd3Ku6URI/AAAAAAAACz4/MW5V1i92GWk/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.jpg" /></a></div>
<b>12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา!!!</b><br /><br /><b>1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ</b> หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเอง จะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย. ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ<br /><br /><b>2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา</b> แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา <br /><br /><b>3. พูดมากเกินไป</b> หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก <br /><br /><b>4. ติดความดีมากเกินไป</b> หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิด จนวุ่นวายปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้<br /><br /><b>5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น</b> หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย<br /><br /><b>6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์</b> หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัดจะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง<br /><br /><b>7. ทำๆเลิกๆ</b> หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย<br /><br /><b>8. ปฏิบัติผิดวิธี</b> หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้<br /><br /><b>9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป</b> หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลย์ชีวิตอีกครั้ง เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้<br /><br /><b>10. คนจมทุกข์</b> หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเองวันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า <br />ความเหงาโดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะ<br />ชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง <br />นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์ แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย<br /><br /><b>11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา</b> หมายความว่า เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง ถ้าความจริง<br />ไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้ บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรม เพื่อลดทอนภพชาติได้เลย เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน<br /><br /><b>12. ฉลาดเกินไป</b> หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม<br /><br />การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือ ทุกข์แห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด เพราะการเวี่ยนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ <br /><br />ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล<br /><br />
<span style="font-size: x-small;">พศิน อินทรวงค์ </span><br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-58212353277298698192015-04-20T08:25:00.001+07:002015-04-20T08:26:33.331+07:00การเฝ้าสังเกตดูเฉยๆ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-2k61EmOb9Wc/VTRNvYGXi_I/AAAAAAAACzY/Kv9-2BVDeR4/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%94%E0%B8%B9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-2k61EmOb9Wc/VTRNvYGXi_I/AAAAAAAACzY/Kv9-2BVDeR4/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%94%E0%B8%B9.jpg" height="266" width="400" /></a></div>
ในการสังเกตดูเฉยๆนั้น ท่านต้องมีความตั้งใจพากเพียรที่จะเฝ้าสังเกตด้วย มิฉะนั้นจิตของท่านก็จะล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยคิดว่า " นี่แหละดูเฉยๆ" แล้วท่านจะได้รับประโยชน์อย่างไรกัน<br />
ดังนั้น ความตั้งใจพากเพียรที่จะมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการวิปัสสนา<br />
<br />
" การเฝ้าสังเกตดูเฉยๆ " หมายความว่า ท่านต้องไม่ไปพยายามปรุงแต่ง มองหาความรู้สึกที่ตัวเองชอบ หรือผลักไสความรู้สึกที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสิ่งต่างๆนั้นเกิดขึ้น<br />
เอง......ท่านไม่ใช่ผู้ที่จะบงการ หรือสั่งความรู้สึกได้ มันเป็นเรื่องของ " กฎธรรมชาติ "<br />
<br />
" จงเฝ้าสังเกตดูอย่างสงบ โดยไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย แล้วท่านจะเข้าใจ กฎของธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เกิด ดับ ทุกสรรพสิ่งล้วน เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา อนิจจัง อนิจจัง "<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-7r7L5jar4y0/VTRUiObOM7I/AAAAAAAACzo/VgOgWIiVkZg/s1600/S.-N.-Goenka.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-7r7L5jar4y0/VTRUiObOM7I/AAAAAAAACzo/VgOgWIiVkZg/s1600/S.-N.-Goenka.jpg" height="" width="50" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;">ท่านอาจารย์ สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า (S.N.GOENKA)</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-61089637068440407982015-04-04T11:30:00.001+07:002015-04-04T11:32:00.042+07:00กฏอิทัปปัจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-3xblPD3zipQ/VR9mNP4fpMI/AAAAAAAACx4/YbdAKACIUaE/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-3xblPD3zipQ/VR9mNP4fpMI/AAAAAAAACx4/YbdAKACIUaE/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2.jpg" width="600" /></a></div>
อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ<br />
เมื่อสิ่งนี้ “มี” สิ่งนี้ ย่อมมี<br />
อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ<br />
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.<br />
อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ<br />
เมื่อสิ่งนี้ “ไม่มี” สิ่งนี้ ย่อมไม่มี<br />
อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ<br />
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป.<br />
มม. ๑๓๓๕๕๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖๘๔๑๕๔<br />
<br />
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี<br />
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี<br />
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี<br />
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี<br />
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี<br />
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี<br />
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี<br />
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี<br />
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี<br />
เพราะมีภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี<br />
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายจึงขึ้นครบถ้วน<br />
<br />
<a href="http://dharmahall.blogspot.com/2014/08/blog-post.html" target="_blank"><b><span style="font-size: x-small;">บทสวด ปฏิจจสมุปบาท</span></b></a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-1879840077740109532015-01-02T09:56:00.000+07:002015-01-02T09:58:43.189+07:00เคล็ดลับของการมีอายุยืน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-nF-tJLwLUck/VKX_N1Q2coI/AAAAAAAACqE/8qdo2aM6zVw/s1600/longlife.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-nF-tJLwLUck/VKX_N1Q2coI/AAAAAAAACqE/8qdo2aM6zVw/s1600/longlife.jpg" height="240" width="320" /></a></div>
<br />
<b>เคล็ดลับของการมีอายุยืน</b> ผู้ที่อยากมีอายุยืนอยู่ได้ตลอดอายุขัย ตามความหมายในทางธรรม ควรพิจารณา อิทธิบาท 4 ควรพิจารณาคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ให้ลึกซึ้ง แล้วประกอบความเพียรเจริญสมาธิวิปัสสนา ด้วยอิทธิบาท 4 เป็นตัวนำ ความปรารถนาของผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมสำเร็จ<br />
คำว่า กัป ในที่นี้หมายถึง อายุกัป คือกำหนดอายุของมนุษย์ หมายถึง 100 ปี<br />
สภาพชีวิตของคนในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน คนจำนวนมากไม่น้อย ก่อนเกษียณก็แข็งแรงดี สุขภาพดี ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง แต่พอเกษียณแล้วไม่ช้าเลยก็เฉาแล้ว ไปๆ ไม่ช้าอายุก็หมด คือสิ้นชีวิต ลองพิจารณาดู<br />
บางคนขี้โรค น่าจะย่ำแย่อายุสั้นแต่กลับอยู่ได้นาน เจ็บๆ หายๆ อะไรเป็นกลไกสำคัญ<br />
อิทธิบาท 4 เริ่มด้วย<br />
1. ฉันทะ มีสิ่งดีงามที่ใจใฝ่รักต้องการจะทำ ถ้าใครอยากมีอายุยืน ต้องมีจิตใจผูกอยู่กับการกระทำอะไรสักอย่างที่ดีงาม ใจคอยบอกตัวเองอยู่ว่า ฉันต้องการทำสิ่งนี้ให้ได้ หรือมีสิ่งดีที่ต้องการจะทำแล้วรักที่จะทำ ตั้งขึ้นมาก่อน อย่างนี้เรียกว่าฉันทะ แล้วทำสิ่งนั้น จนไม่มีช่องว่าง ไม่เปิดช่อง ให้แก่ความห่วงความกังวล หรือความกลุ้มใจอะไรเลย<br />
คนที่ยุ่งอยู่กับงาน และงานนั้นเขาพอใจรัก เขาเห็นว่าดีงาม มีคุณค่า และทำจนกระทั่งไม่ห่วงกังวลอะไรในใจ ไม่มีช่องให้แก่เรื่องยุ่ง วุ่นวาย รำคาญใจ มีฉันทะ นี้เป็นเคล็บลับที่ทำให้อายุยืน<br />
2. วิริยะ พอฉันทะเกิด ต่อไปถึงวิริยะ คือความมีกำลังใจเข้มแข็ง แกล้วกล้า ใจสู้ กล้าเผชิญความยากลำบากและอุปสรรค เห็นว่าสิ่งนั้นๆ ท้าทาย เพียรพยายามที่จะเอาชนะ ทำให้สำเร็จให้ได้ มีความกล้าหาญที่จะทำ<br />
3. จิตตะ คือการอุทิศตัว อุทิศใจให้กับสิ่งนั้น ใจมุ่งจดจ่อกับสิ่งนั้น เมื่อใจจดจ่อมุ่งอยู่กับเรื่องที่จะทำ ใจก็ไม่เก็บเรื่องจุกๆ จิกๆ ที่ขัดหู ขัดตา กระทบใจ หรือผ่านเข้ามาเดี๋ยวก็ลืม เพราะใจอยู่กับเรื่องที่จิตจะทำนั้น ก็ไม่มีเรื่องรบกวนรำคาญใจ ทำให้สงบมั่น ถึงขั้นสมาธิก็ได้<br />
4. วิมังสา คือคอยใช้ความคิดพิจารณากับเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา หมั่นทบทวนตรวจสอบ และทดลองค้นคว้าหาวิธีการต่างๆ ให้รู้ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร มีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข และจะปรับปรุงแก้ไขได้อย่างไร วุ่นอยู่กับเรื่องที่ทำนั่น และใจก็สนุกกับสิ่งที่ทำ มีความร่าเริงเบิกบาน แจ่มใส<br />
<br />
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อิทธิบาท 4 นี้ เป็นตัวอายุ ผู้ปรารถนาอายุ ไม่พึงพอใจกับการอ้อนวอนปรารถนาได้มีอายุ ซึ่งไม่ทำให้สำเร็จได้แท้จริง แต่ต้องทำตามข้อปฏิบัติที่จะให้อายุนั้นสำเร็จ และข้อปฏิบัตินั้นก็คือ อิทธิบาท 4 คือเคล็ยลับ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ให้แล้ว ถ้าใครต้องการอายุยืน ก็ตั้งฉันทะขึ้นมาจนครบอิทธิบาททั้ง 4<br />
<br />
แม้เราจะพยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท<br />
- เคลื่อนไหวอย่างธรรมชาติ ไม่ได้ออกกำลังกายหักโหม ด้วยการทำงาน เดินเล่น ทำสวน ทำงานบ้าน ปลูกผักผลไม้ไว้กินเอง <br />
- ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีเป้าหมาย รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ดังนั้น สิ่งที่เขาทำอยู่จึงเป็นปัจจัยให้อายุยืน<br />
- ลดความเครียด มีกิจกรรมทางจิตใจ ที่ช่วยลดความเครียด <br />
- ยึดหลักความพอดี ในการกินพออิ่ม การอยู่แบบเรียบง่าย ใช้ชีวิตแบบไม่รีบร้อน และมีความทะเยอทะยานน้อย<br />
- กินพวกพืช ผัก ผลไม้ เป็นหลัก <br />
- มีศรัทธา มีกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ<br />
- มีสายสัมพันธ์ในครอบครัวใกล้ชิด <br />
หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด<br />
<br />
อิทธิบาทสี่เป็นองค์ธรรมแห่งความสำเร็จ ประกอบด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ความสำเร็จทั้งปวงไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมจักสำเร็จได้ด้วยอิทธิบาททั้งนั้น หากขาดอิทธิบาทแล้วก็ยากที่จะประสพความสำเร็จ <br />
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-32370329400582325802014-08-19T16:56:00.000+07:002014-08-19T16:58:32.784+07:00พลังงานของจิตใต้สำนึก กับ ขันธ์ 5 <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-J8cLmPYNvlU/U_ML3umGpAI/AAAAAAAACjs/tsfg7M2sphU/s1600/five-aggregates.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-J8cLmPYNvlU/U_ML3umGpAI/AAAAAAAACjs/tsfg7M2sphU/s1600/five-aggregates.jpg" height="296" width="400" /></a></div>
<b>จิต</b> เป็นพลังงานเร้นลับตามธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเฉพาะในสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไป จะเข้าใจถึงความมีอยู่ของจิต ซึ่งเข้าใจได้ยากพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งในจักวาร พระองค์ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องจิต ไว้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มากกว่านักวิทยาศาสตร์ อย่างเที่ยบกันไม่ได้<br />
<br />
<br />
เซลล์เริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตขั้นสูงรวมทั้งมนุษย์ด้วย (Zygote) ที่เกิดจากไข่ของเพศเมียได้รับการผสมจากเชื้ออสุจิของเพสผู้ ยังต้องมีเจตภูติ(จิตวิญญาณ)มาจุติด้วยจึงจะเกิดความมีชีวิตขึ้น จะมีการพัฒนาการต่อเนื่องสู่การเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ไม่อยุดแค่การเป็นสัตว์เซลล์เดียว จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเซลล์มากขึ้นจะเกิดการแบ่งหน้าที่ของกลุ่มเซลล์ออกเป็นอวัยวะต่างๆ ทำหน้าที่ต่างกันออกไปเพื่อประกอบเป็นร่างกายของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง สัตว์ต่างชนิดกันจะมีรูปร่างกายต่างกัน<br />
<br />
กระบวนการในการสร้างสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติ เป็นการทำให้ธาตุต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต กลายเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ อย่างมีรูปแบบโดยเฉพาะ คือการทำให้เกิด จิต ขึ้นมา จิตก็คือพลังงานที่จะมาควบคุม การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่ธรรมชาติกำหนด เพื่อการขยายเผ่าพันธุ์ออกไป<br />
<br />
ถ้าการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิต ดำเนินไปจนถึงระยะที่สูญสิ้น จิต เหลือเพียงร่างกาย เราเรียกสภาวะการณ์นี้ว่า การตาย ธาตุต่างๆ ที่มาประกอบกันเป็น ร่างกาย ก็จะสลายตัวกลับคืนสู่ธรรมชาติ กลายเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอีกครั้ง<br />
<br />
การอธิบายว่า จิต มาควบคุม ร่างกาย ได้อย่างไร จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง จิต อย่างละเอียดลึกซึ้ง ความรู้เกี่ยวกับ จิต มีมากมาย หลายทฤษฏี หลายความเชื่อ<br />
<br />
<b>การฝึก จิต ตามแนวทางของศาสนาพุทธเพื่อการพ้นทุกข์</b><br />
<br />
สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ชั้นสูง ประกอบไปด้วย 2 ส่วน<br />
1. รูปขันธ์ ส่วนที่เป็นร่างกาย(Body)<br />
2. นามขันธ์ ส่วนที่เป็นจิต (Mind) ทางวิทยาศาสตณ แบ่ง จิต ออกเป็น 2 ส่วน จิตสำนึก (Conscious) และ จิตใต้สำนึก (Subconscious)<br />
<br />
<b>ทางธรรม แบ่ง นามขันธ์ ออกเป็น 4 ส่วน</b><br />
- สัญญาขันธ์<br />
- สังขารขันธ์<br />
- เวทนาขันธ์<br />
- วิญญาณขันธ์<br />
<br />
ร่างกาย = รูปขันธ์ <br />
จิตสำนึก = สัญญาขันธ์<br />
จิตใต้สำนึก = สังขารขันธ์ + เวทนาขันธื + วิญญาณขันธ์<br />
ดูความหมายเพิ่มเติมของ <a href="http://dharmahall.blogspot.com/2011/11/5.html" target="_blank"><b>ขันธ์ 5 </b></a><br />
<br />
ต้นทุน ที่เก็บอยู่ใน จิตวิญญาณ เป้นสิ่งที่กำหนดให้เราแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมในการดำรงชีวิต คนจะใช้ชีวิตแบบใดขึ้นอยู่กับ ต้นทุน ที่สะสมอยู่ในจิตวิญญาณ การผุดขึ้นมาของสิ่งเร้า เพื่อแสดงออกเป็นพฤติกรรมในการดำรงชีวิตจาก วิญญาณขันธ์ จะผ่านเข้าสู่ รูปขันธ์ โดยการผ่านมาทาง สัญญาขันธ์ คือต้องเกิดขึ้นในขณะที่คนเรา ตื่นอยู่ - รู้สึกตัวอยู่ แต่มีสิ่งเร้าอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นคำสั่งโดยตรงจาก วิญญาณขันธ์ เพื่อไปกำหนด กลไก การซ่อมสิ่งที่สึกหรอ หรือการสร้างเสริม รูปขันธ์ จะไม่ต้องผ่าน สัญญาขันธ์ จะเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ เป็นการสั่งการโดยตรงจาก วิญญาณขันธ์ ไปยัง รูปขันธ์<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-hO38vcRaNW8/U_MaenIcGPI/AAAAAAAACj8/7UyRaNeH0EA/s1600/iceberg.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-hO38vcRaNW8/U_MaenIcGPI/AAAAAAAACj8/7UyRaNeH0EA/s1600/iceberg.jpg" height="216" width="320" /></a></div>
<b>จิตประกอบไปด้วย 2 ส่วนเปรียบเทียบกับภูเขาน้ำแข็งลอยน้ำ</b><br />
<br />
<b>ทางธรรมมีความเชื่อตายแล้วไม่สูญ</b> จะมีภพหน้า การตายคือการแตกสลายของ 2 ขันธ์ คือรูปขันธ์ และสัญญาขันธ์ ยกเว้น สังขารขันธ์ + เวทนาขันธ์ + วิญญาณขันธ์ ขันธ์ทั้งสามนี้ เรียกรวมกันว่า จิตวิญญาณ ซึ่งจะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เจตภูต หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ผี เจตภูต จะไปเกิดในภพ ใดก็ขึ้นกับ ต้นทุนที่สะสมอยู่ใน เจตภูต(จิตวิญญาณ) ภพที่จะไปเกิดมีได้ทั้ง นรก สวรรค์ พรหม เปรต สัตว์ มนุษย์ ถ้าเชื่อเรื่อง เจตภูต การเกิดมีชีวิตครั้งแรก นอกจากต้องมีการผสมของไข่จากเพศเมียกับสเปิร์มของเพศผู้แล้ว ยังต้องมี เจตภูต มาจุติด้วยจึงจะเกิดความมีชีวิตขึ้น<br />
<br />
แต่ถ้า จิต ในส่วนที่เป็น จิตวิญญาณ เป็น จิต ที่สะอาดปราศจาก กิเลส ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใดๆ เช่น จิตวิญญาณของพระอรหันต์ ก็จะไม่ไปเกิดใน ภพ ใดอีก จะเข้าสู่สภาวะนิพพาน<br />
<br />
<b>วัตถุประสงค์ที่ฝึกจิต</b> การฝึกจิตนั้น มีคุณค่าต่อชีวิตมาก เพราะทำตนให้เป็นผู้ประเสริฐ ดังนั้น ผู้ที่ฝึกจิตได้ถูกต้อง แม้เพียงขั้นสมาธิก็ย่อมได้รับประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ <br />
- เพื่อสามารถในการทำงานได้มากขึ้น และได้ผลดีอย่างมีประสิทธิภาพ <br />
- เพื่อความสุขในชาตินี้ โดยมุ่งทำจิตให้มีสมาธิ<br />
- เพื่อความสุขในชาติหน้า เพื่อไปสู่นิพพาน มุ่งทำจิตให้สะอาด<br />
- เพื่อหวังอิทธิฤทธิ์ มุ่งทำจิตให้เกิด อภิญญา<br />
-เพื่อการมีสุขภาพที่ดี มุ่งฝึก จิต ให้เป็นจิตอายุวัฒนะ ทำให้โรคภัย ไข้เจ็บบางอย่าง หายไปได้<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;">นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-68220818595090660822014-08-17T12:30:00.002+07:002021-05-04T09:37:56.663+07:00บทสวด ปฏิจจสมุปบาท<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-VGzrGT97fqE/U_A85CyU87I/AAAAAAAACjU/cgx0B3G5G0c/s1600/Paticca-samuppada.jpg" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-VGzrGT97fqE/U_A85CyU87I/AAAAAAAACjU/cgx0B3G5G0c/s1600/Paticca-samuppada.jpg" width="500" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/LAJgZQmfaYc" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen></iframe>
<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/KNZfwpZkduI" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen></iframe>
<br />
<b><a href="https://drive.google.com/file/d/0B-QZTvMhwNUfWmFsdkFPdms2bDg/edit?usp=sharing" target="_blank">บทสวด ปฏิจจสมุปบาท</a> </b><br />
อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโสมะนะสิกะโรติ<br />
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ย่อมกระทำไว้ในใจ โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่น เทียว ดังนี้ว่า <br />
<br />
อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ ด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี<br />
อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น<br />
อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี<br />
อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงดับไป<br />
ยะทิทัง ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ<br />
<br />
อวิชชาปัจจะยา สังขารา (เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี) <br />
สังขาระปัจจะยา วิญญานัง ( เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี )<br />
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ( เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี )<br />
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ( เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี )<br />
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ( เพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี )<br />
ผัสสะปัจจะยา เวทนา ( เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี )<br />
เวทะนายะปัจจะยา ตัณหา ( เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี )<br />
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ( เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี )<br />
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ( เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี )<br />
ภะวะปัจจะยา ชาติ ( เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี )<br />
ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง ( เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี )<br />
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ <br />
( ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม )<br />
เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ<br />
( การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ )<br />
<br />
<b>ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์</b><br />
อวิชชา ยะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ( เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ )<br />
สังขาระนิโรธา วิญาณะนิโรโธ ( เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ )<br />
วิญญาณะนิโรธา นามรูปะนิโรโธ ( เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ )<br />
นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ ( เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ )<br />
สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ ( เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ )<br />
ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ ( เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ )<br />
เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ ( เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ )<br />
ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ ( เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ )<br />
อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ ( เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ )<br />
ภะ วะนิโรธา ชาตินิโรโธ ( เพราะภพดับ ชาติจึงดับ )<br />
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง ( เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ )<br />
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ <br />
( ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจจึงดับ )<br />
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ <br />
( การดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ )<br />
<a href="http://dharmahall.blogspot.com/2011/03/Pratityasamutpada.html" target="_blank"><span style="font-weight: bold;">ภาพปฏิจจสมุปบาท</span></a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-35293730036595753382014-07-05T13:55:00.001+07:002014-07-05T13:55:15.818+07:00หนังสือธรรมะปลอม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-DMHYGbXgtVI/U7ecj6IyAEI/AAAAAAAACiM/mCtf5inkEiE/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-DMHYGbXgtVI/U7ecj6IyAEI/AAAAAAAACiM/mCtf5inkEiE/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A1.jpg" height="295" width="400" /></a></div>
การให้ธรรมะเป้นทาน ได้บุญมากที่สุดในด้านการให้ทาน แต่บางครั้ง<b>การคิดว่าได้ ธรรมทาน แต่อาจจะได้บาป</b><br />
<br />
หนังสือธรรมะบางเล่ม เป็นหนังสือธรรมะที่เขียนในแบบที่ <b>คิดเอาเองว่าดี</b> หนังสือเหล่านี้จะสอนในสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าถูกต้อง โดยไม่ได้อ้างอิงพระไตรปิฏกเลย<br />
<br />
หนังสือธรรมะ (ปลอมๆ) เหล่านี้ จะสอนคนในแนวทางผิดๆ เช่นการสะเดาะเคราะห์ เครื่องราง ของขลัง ไสยศาสตร์ แก้ปีชง พิธีกรรมต่างๆ ฯลฯ<br />
<br />
หนังสือธรรมะ (ปลอมๆ) เหล่านี้หากเราแจกจ่ายคนอื่น เราจะได้บาปติดมาด้วย เป็นบาปจากการส่งเสริมให้คนเข้าใจผิดๆ และแก้ไขปัญหาชีวิตแบบผิดๆ<br />
<br />
หนังสือธรรมะบางเล่ม ดูแล้วจะคล้าย จะเป็นธรรมะที่ถูกต้อง แต่เนื้อหาบางจุดกลับไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฏก ซึ่งความผิดพลาดดังกล่าว อาจจะเกิดจากการตีความผิด หรือการพิมพ์ผิดของสำนักพิมพ์ เช่น การแก้กรรม การสอนว่าชีวิตขึ้นอยู่กับกรรมเก่าอย่างเดียว การสอนว่าทำทานให้น้อยทำบุญอื่นให้มาก เป็นต้น<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะพิมพ์หนังสือธรรมที่ถูกต้องตามพระไตรปิฏกแจกจ่าย ก็ยังไม่ถือว่าเราได้ธรรมทาน เพราะการให้ธรรมทานจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเราให้ธรรมะแล้ว ผู้รับ ทำบุญมากขึ้น ทำบาปน้อยลง <br />
<br />
ฉะนั้น หากเรามีความตั้งใจที่อยากให้ธรรมทาน หรืออยากจะใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างคุ้มค่า อย่าแจกหนังสือเล่มที่เราไม่เคยอ่าน เพราะเราไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นเขียนอะไร และพยายามแจกหนังสือที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่า อยากทำบุญมากขึ้น ทำบาปน้อยลง เพราะหนังสือแบบนี้เท่านั้น เวลาที่เราให้ใคร เราถึงจะมีโอกาสได้บุญเป็นธรรมทาน<br />
<br />
(คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ฒ เ่ล่ม 3)Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-26285118875271842772014-07-02T17:32:00.001+07:002014-07-02T17:32:34.439+07:00ข้อดีของการให้เด็กฝึกสมาธิ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-Q0gywxVR3SM/U7Pb_BrgHuI/AAAAAAAACh8/T0a7xI0MXtY/s1600/Children+and+meditation.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-Q0gywxVR3SM/U7Pb_BrgHuI/AAAAAAAACh8/T0a7xI0MXtY/s1600/Children+and+meditation.jpg" height="192" width="400" /></a></div>
เด็กๆ มักเสียสมาธิเมื่ออยู่หน้าโทรทัศน์ แต่ไม่ได้หมายควา่มว่าพวกเขาจะไม่สามารถฝึกสมาธิได้ การให้เด็กฝึกสมาธิพิสูจน์แ้ล้วว่าทำให้สุขภาพของพวกเขาดีขึ้น<br />
<br />
งานวิจัยของวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งจอร์เจียพบว่าเด็กอายุ 11-14 ปีฝึกสมาธิวันละ 20 นาทีติดต่อกันสามเดือนมีความดันโลหิตต่ำงมาก เวอร์เนอร์ บาร์นส์ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า ถ้ารักษาความดันโลหิตที่ลดลงไว้ในระยะยาวก็จะลดความเสี่ยงจากอาการเส้นโลหิตแตกหรืออุดตัน หรือโรคหัวใจเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ลงได้ 13% ปัจจัยต่างๆ เช่นโรคอ้วน การกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ และความเครียด ทไำให้เด็กมีความดันโลหิตสูง การให้เริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เด็ก จะทำให้มีสุขภาพดีในระยะยาว<br />
<br />
การให้เด็กนั่งนิ่งๆ นาน 20 นาทีเป็นเรื่องยาก เด็กที่ร่วมงานวิจัยทำสมาธิครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้า และหลังเลิกเรียน โดยให้เด็กนั่งหลังตรง และเพ่งสมาธิอยู่กับการหายใจ ให้รู้สึกว่าหน้าท้องพองขึ้นเมื่อหายใจเข้า และยุบลงเมื่อหายใจออก บอกให้เด็กรับรู้ความนึกคิดต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจจึงค่อยกลับมาเพ่งสมาธิที่การหายใจต่อ พยายามฝึกให้เขาคุ้นเคยกับการรับรู้ถึงการหายใจของตัวเอง และพยายามช่วยให้เขาคุ้นเคยกับการใช้วิธีดังกล่าวนี้ เมื่อต้องการให้เขามีสมาธิ หรือเมื่อต้องการให้เขาผ่อนคลาย เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ที่จะมีสมาธิอยู่กับความนึกคิดของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย<br />
<br />
เด็กกับการไม่อยู่นิ่งเป็นของคู่กัน ต้องหากิจกรรมต่าง ๆ ให้เขาทำ การฝึกให้เด็กมีสมาธิมีผลดีหลายอย่าง การฝึกสมาธิเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ต่อไป และยังช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับความเครียด ความกดดัน หรือความกลัวได้ดีขึ้น<br />
<br />
จากสถิติจำนวนนักเรียนระดับชั้นประถมในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการฝึกสมาธิในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ดีขึ้น มีความสุข และมีปฏิกิริยากับความเครียด ความกดดันต่าง ๆ ดีขึ้น สงบขึ้น และสามารถอยู่กับกิจกรรมที่กำลังทำได้นานขึ้นด้วย<br />
<br />
ประโยชน์ของการทำสมาธิ “สมาธิ” ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่ฝึกเป็นประจำเท่านั้น ยังส่งผลทางบวกไปยังบุคคลรอบตัว สังคม ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนเป็นการสืบสาน ต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย สมาธิ จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการผ่อนคลายในเบื้องต้น แต่ยังส่งผลให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงความสุขอันเป็นผลดีต่อตนเองUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-6903937434619249772014-07-01T16:19:00.001+07:002014-07-01T16:19:39.802+07:00ชาติหน้ามีจริงหรือไม่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-OQcMM0w73FU/UtdEBJfbb7I/AAAAAAAACdc/BNuFslrp_x8/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%9E.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-OQcMM0w73FU/UtdEBJfbb7I/AAAAAAAACdc/BNuFslrp_x8/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%9E.jpeg" height="250" width="400" /></a></div>
ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาพระโพธิญาณเถร(ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?<br /> <br /> ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?<br /> <br /> หลวงพ่อชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?<br /> <br /> ผู้ถาม : เชื่อ<br /> <br /> หลวงพ่อชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่<br /> <br /> ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?<br /> <br /> หลวงพ่อชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ...คุณโง่หรือฉลาด?<br /> <br /> แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า<br /> <br /> หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป<br /> <br /> ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี.. พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด<br /> <br />
<blockquote class="tr_bq">
<b> ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้</b></blockquote>
<br /> ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย<br /> <br /> พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานนี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว<br /> <br /> ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง<br /> <br /> คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด<br /> <br /> หลวงพ่อชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป<br /> <br /> ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า คนตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่? ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน พระองค์ตรัสว่า<br /> <br /> ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิดหรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิดหรือคนตายแล้วไม่เกิด ถ้าพราหมณ์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้ พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์ ทางที่ถูกนั้น พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้<br /> <br /> พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา<br /> <br /> พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ชาติหน้ามีหรือไม่มี อย่างนั้นไม่ใช่ เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้ ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น<br /> <br /> อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม? ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ<br />
<br />
พระโพธิญาณเถร(ชา สุภัทโท) <br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4762991830470925758.post-72012400378805074452014-02-17T10:10:00.002+07:002014-02-17T10:17:13.770+07:00พละ 5 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินทรีย์ 5<b> มิตรทั้ง 5 นี้คืออะไร </b>ซึ่งเราเรียกว่า พละ 5 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินทรีย์ 5 เพราะมันเป็นใหญ่เหนือศัตรูทั้ง 5 <br />
1. <b>ศรัทธาพละ </b>ความเชื่อมั่นจะต้องพร้อมไปด้วยปัญญา แะการปฏิบัติ ธรรมะจึงจะสมบูรณ์ ศรัทธาเปรียบเสมือนเท้า ปัญญาเปรียบเสมือนตา ผู้ที่มีแต่ปัญญาโดยไม่มีศรัทธา จะทำได้เพียงแค่พูดถึงธรรมะ หรืออริยมรรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถก้าวเดินไปบนหนทางแห่งอริยมรรคได้เลย ในทำนองเดียวกันผู้ที่มีแต่ศรัทธาโดยไม่มีปัญญา เปรียบดังผู้ที่มีเท้า แต่ไม่มีตา เขาจะเอาแต่เดิน หรืออาจถึงกับวิ่ง โดยพยายามที่จะวิ่งไปตามหนทางแห่งอริยมรรค แต่เขาจะไม่รู้เลยว่าเขาเดินหรือวิ่งไปถูกทางหรือไม่<br /><br />
2. <b> วิริยะพละ </b>ความเพียร กำลังการควบคุมความเกียจคร้าน การชำระจิตให้บริสุทธิ์เราต้องอาศัยความเพียร หรือการบำเพ็บตบะ แต่เราจะต้องทำความเพียรให้ถูกต้อง ไม่ใช่เพียรอย่างบ้าระห่ำมุทะลุ<br /><br />
3. <b>สติพละ</b> ความระลึกรู้ การมีสติคือ การที่จะต้องระลึกรู้ความจริงที่เกิดอยู่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น เราไม่สามารถมีสติระลึกรู้ในสิ่งที่เป็นอดีตเพราะนั่นไม่ใช่ความจริง มันเป็นเพียงความทรงจำ เราไม่สามารถระลึกรู้สิ่งที่เป็นอนาคต เพราะนั่นก็ไม่ใช่ความจริงเป็นเพียงความคาดหวัง ความฝัน ความวิตกกังวล หรือความกลัวเท่านั้น การมีสติระลึกรู้ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างกายของเราในขณะนี้เท่านั้นที่เป็นสติที่ถูกต้อง<br /><br />
4. <b>สมาธิพละ</b> ความตั้งมั่นของจิต ถ้าเราสร้างสมาธิโดยจิตไปตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่จินตนาการขึ้นมา สมาธิที่เกิดขึ้นก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ หรือถ้าเราสร้างสมาธิโดยเพ่งวัตถุด้วยความพอใจ หรือไม่พอใจ นั่นก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ สิ่งที่ใช้สร้างสมาธิจะต้องเป็นความจริงที่เราประจักษ์ได้ภายในขอบเขตร่างกายของเรา และเราจะต้องพัฒนาสติให้ตั้งมั่นอยู่ได้ในแต่ละขณะ จากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นแหละคือสัมมาสมาธิ<br /><br />
5. <b>ปัญญาพละ</b> ความรอบรู้แจ้ง กำลังการควบคุมเพิกเฉยไม่สนใจ หลงงมงาย เราจะต้องพัฒนาปัญญาด้วยการปฏิบัติ จนได้ประจักษ์กับความจริงภายในตัวของเราเอง<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;">ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า</span>Unknownnoreply@blogger.com0