การละกิเลส


เรื่องของกิเลส คือเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ทุกครั้งที่จิตใจเศร้าหมองนั้น เราจะต้องรีบหาวิธีการที่จะลบล้างความเศร้าหมองออกจากจิตใจของเรา เหมือนกับเสื้อผ้า หรือมือของเราที่เปื้อนจึงต้องรีบล้างด้วยน้ำที่สะอาด

กิเลสของมนุษย์มีหลายวิธีการที่ทำให้เราเศร้าหมองทางด้านจิตใจ บางครั้งกิเลสก็มาทางตา บางครั้งกิเลสมาทางหูเป็นเสียง บางครั้งกิเลสมาทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางประสาทสัมผัสต่างๆ รวมๆ ลงมาที่ใจของเรา กิเลสนั้นท่านแสดงไว้ 10 ประการด้วยกัน
  1. โลภะ ตัวโลภะ คือ ความโลภ ความต้องการติดใจในอารมณ์ แม้แต่ได้ยินเสียงไพเราะเกิดความยินดีพอใจ โลภะก็เกิดขึ้นแล้ว นั่งกรรมฐานพอมัน ปวดเมื่อยมันก็อยากจะไปเสวยความสุขไม่อยากจะได้รับความทุกข์อันนี้ ขณะนั้นก็มี โลภะเกิดขึ้นแล้ว โลภะเกิดขึ้นพร้อมด้วยอุเบกขาก็มี ความโลภเกิดขึ้นพร้อมด้วย ความดีใจก็มี ความโลภเกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ ก็มี ไม่ใช่ว่าโลภแล้วดีใจเสมอไป อย่างในกรณีที่เรานั่งกรรมฐานมันปวดมันเมื่อยอยู่นี้ มันก็เกิดอยากจะไปนอน อยากจะเสวยความสุขในอริยาบถอื่น แต่จิตใจในขณะนั้นจะไม่รู้สึกดีใจอะไร เพราะว่ามันกำลัง ปวดเมื่อยอยู่ มันก็จะโลภแบบเฉย หรืออย่างเราเดินไปในห้างสรรพสินค้า นั่นก็ สวยนี้ก็ดีตู้เย็นพัดลมวีดีโอโทรทัศน์ อยากได้มั้ยอยากได้เป็นความโลภแล้ว แต่มัน ไม่ได้ดีใจอะไร เพราะอะไร เพราะมันรู้ว่าไม่มีเงินจะซื้อมันก็เฉยๆ อยากได้แต่เฉยๆ อย่างพอไปเห็นเงินในธนาคารเป็นปึกๆ คนนับเงินไม่มีใครที่จะไม่อยากได้ แต่พนักงานเขาก็เฉยๆ เขาไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร เพราะอะไร เพราะเขารู้ว่าไม่ใช่ของเขาเอามาไม่ได้ โลภแต่เฉยๆ ถ้าเราสังเกตจิตใจมันก็จะมีอยู่ความโลภพร้อมด้วยความดีใจบ้าง ความโลภพร้อมด้วยความเฉยๆ บ้าง
  2. โทสะก็คือความโกรธ เพียงแต่จิตไม่แช่มชื่นก็เป็นโทสะแล้ว
  3. โมหะก็คือความหลง ความโง่ หรือว่าไม่รู้ คือไม่รู้ตามความเป็นจริง รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ สิ่งที่ควรรุ้ไม่รู้ นี่คือโมหะ มันไม่ใช่ว่า ม่รู้อะไรนะ โมหะนี่มันรู้เหมือนกันแต่ไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ โมหะมันก็คอยเกิดขึ้น เวลาปฏิบัติไปโมหะมันคอยจะเข้ามาแทรก มันคอยจะเผลอ เผลอตัวหลงลืมสติคือโมหะ ฉะนั้น สติกับโมหะนี้มันต้องต่อสู้กัน เหมือนคนสองคนที่จะแย่งนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกัน ถ้าหากว่าสติมันไวกว่า โมหะก็ตกเก้าอี้ไป จิตใจก็ปลอดโปร่งมีสติ แต่ถ้าสติไม่ทัน โมหะก็ขึ้นนั่งเก้าอี้ครอบงำจิตใจให้หลงให้เผลอให้ลืมไป
  4. มานะ ความเย่อหยิ่งถือตัว อันนี้ก็สำคัญ ถือตัวเอง ใครจะมาแตะต้องใครจะมาพูดจากร้าวร้าวอะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้ มันมีความถือตัว ก็ต้องรู้เท่าทัน
  5. มิจฉาทิฎฐิ ความเห็นผิด มีความเห็นผิดไปว่า บุญไม่มี บาปไม่มี ผลบุญผลบาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดีทำชั่วไม่ได้ชั่ว อันนี้เป็นความเห็นผิดที่มีโทษ อย่างคนที่เกิดความเห็นผิดร้ายแรง ที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ นิยตมิจฉาทิฏฐินี้เป็นอัน ตรายมาก ถ้าตายจากปัจจุบันนี้ก็ต้องลงนรกแน่นอนเป็นความเห็นผิดที่ดิ่งลงไป ตลอดชีวิตนี้เชื่อผิดอยู่อย่างนั้น คือ เชื่อว่าบุญไม่มีบาปไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี ทำดีไม่ได้ดีทำชั่วไม่ได้ชั่ว การกระทำบุญก็ทำไปอย่างนั้น ทำบาปก็ทำไปอย่างนั้นไม่มี ผลอะไร ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเหตุมีปัจจัยอะไร ถ้ามีความเชื่อมั่นอย่างนั้น ลงไป ดิ่งลงไปเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิสู่นรกแน่นอน แต่ถ้ายังสงสัยจะจริงไม่จริง อันนี้ ไม่ถึงขนาดนั้นยังทำความดีได้ และโดยเฉพาะความเห็นผิดโดยสามัญ ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน อย่างนี้เป็นเห็นผิดโดยสามัญ ยึดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เราเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้เป็นความเห็นผิดโดยสามัญก็เป็นลักษณะของทิฏฐิเหมือนกัน
  6. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย, ความเคลือบแคลง
  7. ถีนะ ความท้อ หดหู่
  8. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
  9. อหิริกะ ความไม่ละอายต่อทุจริต
  10. อโนตตัปปะ ไม่เกรงกลัวต่อทุจริต คู่กัน ไม่ละอาย ไม่เกรงกลัว ไม่ละอายในที่นี้ก็คือ ไม่ละอายในบาปกรรมต่างๆ อย่างเช่นรักษาศีล 8 ห้ามให้เว้นบริโภคอาหารในเวลาวิกาลหลังจากเที่ยงไปแล้ว ถ้าคนไม่มีความละอาย ลับตาคนก็อาจจะล้วงเอาของอะไรมากิน แต่ต่อหน้าคนอาจจะไม่ทำเกรงกลัวละอาย ที่ละอายไม่ใช่อหิริกะ ที่อายต่อทุจริต อายว่าการกระทำนี้มันเป็นบาปเป็นอกุศล ละอายต่อบาป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น